ตอน 5

อ้ายชียาม่า โบ๋ !!!

ทอม

“ฐิติชญา….” 

คุณแม่เรียกชื่อเต็ม “ขอแม่นั่งพักตรงนี้ก่อน เริ่มเมื่อยแล้ว”

สาวทอมพยักหน้า ทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้ กลางฮอลล์ของศูนย์การค้า

ลูกสาวหยิบถุงใส่ของที่ซื้อมาขึ้นมาวางบนเก้าอี้  แล้วทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ คุณแม่

คุณแม่ถอดแว่นออกมาวางที่น่าตัก  “ญาต้องไปหารุ่งกี่โมง ?”

 “ก็ซื้อของเสร็จนี่ ญาส่งแม่ที่บ้านแล้วก็เลยไปเลย  แฟนนี่คงรอคำตอบอยู่”

คุณแม่หัวเราะ “ท่าทางน้องเค้าติดญามากเลยนะเนี่ย โทรหาแต่พี่ทอม พี่ทอม… แล้วพวกพี่ ๆ ที่ใช้ลูกดิ่งน่ะ เรียกญาว่าทอมทุกคนเลยเหรอ ?”
คุณแม่หมายถึงกลุ่มนักประเมินสุขภาพด้วยลูกดิ่ง

ลูกสาวเริ่มชักสีหน้า
“อย่าพูดถึงเลยแม่ พูดแล้วหงุดหงิด ใครก็ตามที่รู้จักรุ่ง มันก็บอกให้เรียกหนูว่าทอมหมด ไอ้เพี่อนชั่วนี่”

เธอนึกถึงเด็กสาวอายุน้อยที่สุดที่เข้าเรียนวิชาลูกดิ่งเพนดูลั่มครั้งที่เพิ่งผ่านมา แล้วเธอก็ยิ้ม

“แฟนนี่เก่งมากนะแม่ เค้าสื่อสารกับลูกดิ่งได้ก่อนเข้าเรียนซะอีก แล้วก็มาเรียนทั้งครอบครัวทั้งพ่อทั้งแม่  พอรุ่งเจอเข้า คุยกันแป๊บเดียวเท่านั้น ก็ติดเลย  แฟนนี่เค้าติดรุ่งมากกว่าญาอีก  แล้วอาจารย์สอนอะไร เค้าทำได้หมดเลย  ตอนใช้กระดาษตัดดินสอ แฟนนี่ฟังแล้วตัดทีเดียวขาดเลย  คนอื่น ๆ ต้องลองหลายครั้ง  ญารู้สึกว่าน้องเค้ามีจิตตั้งมั่น แล้วก็เหมือนกับมีของเก่ามาด้วยน่ะ”

“นั่นสินะ แม่ว่า… เรื่องพวกนี้น่ะมันต้องของเก่าอยู่แล้ว ดูอย่างรุ่งสิ บุคลิกแล้วก็วัย ไม่น่าจะสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ทำไมมาสนใจเอาจริงเอาจังอย่างนี้ได้ ? ”

ลูกสาวพยักหน้า “อือ... ก็ใช่  ตอนไปเรียนด้วยกัน รุ่งก็ตัดดินสอขาด ครั้งเดียวเลย เค้าลุกขึ้นแล้วบอกให้ญาถือดินสอ คว้ากระดาษ แล้วฟันฉับเดียว  เป็นคนแรกของห้องเลยด้วยมั้ง คนอื่นหันมามอง แต่ทำตามไม่ได้ ฮิ ฮิ…”
เธอหัวเราะเบา ๆ

ตาเธอเหลือบมองไปเห็นชายหนุ่มที่คุ้นหน้า เดินมากับสาวกระโปรงสั้น หน้าตาสวยอย่างนางแบบ … ใช่...
ทอมจำหน้าสาวคนนี้ได้  เธอคือนางแบบที่เริ่มเล่นหนังทีวี 

เธอรู้จักฝ่ายชาย  ใส่แว่น ผิวขาวแบบผู้ดี แต่ใบหน้านี้ กวนส้นเท้าเธอสุด ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอรู้จัก 

จ๊อด… ลูกพี่ลูกน้องของรุ่ง ควงนางแบบสาวเดินเข้าร้านนาฬิกาหรู

สาวทอมมองตาม หรี่ตา แล้วสั่นหัว
“รู้จักเค้ารึ ญา ?” คุณแม่เห็นปฏิกิริยาของลูกสาว

“ค่ะ จ๊อด เป็นลูกของอารุ่ง ทางฝ่ายพ่อเค้าค่ะ ลูกพี่กับลูกน้อง ไปกันคนละแนว”

เธอมองเข้าไปในร้าน  เห็นท่าทางฝ่ายชาย ท้าวสะเอว ชี้มือ กวักมือ แบมือ ขยับแว่น…แต่ละท่าทางแสดงถึงบุคลิกของผู้ใช้อำนาจอย่างเห็นได้ชัด

“ไปกันหรือยัง ? แม่หายเมื่อยแล้ว”
“ค่ะ”
เธอพยักหน้า ลุกขึ้นยืน สองแม่ลูกรวบถุงช๊อปปิ้งที่วางอยู่ แล้วเดินจากไป

***********************************************************************************

โทรศัพท์บ้านบนหัวเตียงดังขึ้น รุ่งเดินมารับสาย


เสียงปลายทางเป็นเสียงของเพื่อนสนิทที่แสนจะกวนอวัยวะเบื้องต่ำ
“รุ่ง กู…วิทย์โว้ย”

“ว่าไงลูกพ่อ มึงโทรมาแล้วกูได้เงินมั้ยเนี่ย ? ” รุ่งทักเพื่อนตามภาษาปกติของเขา แล้วลากโทรศัพท์มานั่งคุยบนพื้นห้อง


“ไอ้ห่านี่ เวลามึงมีค่ามากนักใช่มั้ย ? ”
“ทำไมมึงชอบสบถวะ ? พูดกับพ่อมึงเพราะ ๆ หน่อยไม่ได้เหรอไง ? ”
“สบถแปลว่าอะไรวะ ? ” เสียงปลายทางถามแบบซื่อ ๆ

“สบถก็พวกคำด่าไง มึงน่ะติดมาตั้งแต่เด็กแล้ว คำนึงก็ไอ้ห่า คำนึงก็ไอ้ระยำ ไอ้ชิบหาย ติดมาจากไหนวะ ?   คุยกับมึงแล้วเหมือนโดนด่าตลอด” รุ่งพูดไปหัวเราะไป
“เออโทษที  สงสัยกูติดจากเตี่ยกู  อีแม่งด่ากูทุกวันเลยว่ะ”

รุ่งหัวเราะ “เออ  ขนาดเตี่ยมึงเอง มึงยังใช้คำว่าแม่งเลย จำเริญ”
“แม่งมึงเอ๊ย ทนกูหน่อยเหอะ ไหน ๆ ก็คบกูมาได้ตั้งนานแล้ว จะบ่นทำไมวะ ? ”
รุ่งหัวเราะ “ย่อมได้ พ่อย่อมอภัยลูกได้เสมอ  ว่าไง ? มีอะไรว่ามา”

วิทย์เริ่มเข้าเรื่อง “ก็เรื่อง เรื่องนั้นน่ะ”
รุ่งสวนทันที “เรื่องยิ้มน่ะ ? ”
“เออ ใช่”
“อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว เอาไงว่ามา ตกลงจะดักฉุดมั้ย ? ”

วิทย์หัวเราะ
“กูจะไปเจอเค้าที่สระว่ายน้ำวันอาทิตย์  กูรู้ว่าเค้าจะไปทุกอาทิตย์ โดยเฉพาะอาทิตย์นี้ เค้าไปแน่ ๆ เพราะได้ยินเค้าพูดไว้ครั้งที่แล้ว  กูก็จะทำเป็นไปเจอโดยบังเอิญ”
“อ๋อ  ไปจ๊ะเอ๋ ว่างั้น ? ”
“เออ นั่นแหละ แล้วกะว่าจะชวนไปกินข้าวต่อ แต่เนี่ยสิสำคัญ จะชวนยังไง ? เค้าจะไปเหรอ ? เพราะเพิ่งรู้จักกัน”

รุ่งช่วยเพื่อนคิด “แล้วครั้งที่แล้ว มึงคุยอะไรบ้างกับเค้าล่ะ ? ”

“ก็ทักกัน แล้วก็ถามว่าเค้ามาว่ายที่นี่บ่อยเหรอ เค้าก็บอกว่าทุกอาทิตย์ ไม่ได้คุยอะไรมากกว่านี้”
“แล้วเค้าทำท่ารังเกียจหรือเปล่า ? ”

วิทย์นึกสักครู่ “เปล่าหรอก เพราะกูยังไม่ได้คุยมาก”

รุ่งหัวเราะ “เฮ่อ ๆ ถ้ามึงคุยมาก ป่านนี้เค้าคงเกลียดขี้หน้ามึงไปแล้ว ฮ่า ๆ”

วิทย์หัวเราะตามแถมสบถ “ไอ้ชิบหาย”

รุ่งแนะนำ “ไม่รู้สิ เดาไม่ออกเหมือนกันว่าเค้าจะไปหรือเปล่า กูว่ามึงก็ลองชวนดู แต่แค่ถามหยั่งเชิงก่อนว่า ว่ายน้ำเสร็จไปไหนต่อ ถ้าเค้ารังเกียจมึง เค้าก็คงหาเรื่องอ้าง”
“อ้างว่าอะไร ? ”
“อาจจะอ้างว่า พอดีพ่อเสียกระทันหัน หรือ ไม่ก็พอดีไฟไหม้บ้าน โคตรตายหมดเลย”

วิทย์หัวเราะลั่น “ไอ้สันดาน ทำไมมึงปากหมายังงี้วะ เก็บไว้อ้างกับโคตรมึงแล้วกัน”

รุ่งหัวเราะต่อ พาเอาเพื่อนหัวเราะตามไปด้วย เสียงหัวเราะของรุ่งดังลั่นบ้าน เป็นปกติของเพื่อนรักสองคนนี้ที่คุยกันด้วยวาทะแบบนี้

รุ่งเริ่มพูดต่อ
“ลองฟังเค้าก่อนแล้วกัน ถ้ามึงถามเค้าแล้ว เค้าอ้ำอึ้งไปซักพัก แล้วค่อยตอบว่าไม่ว่าง ยังงี้แสดงว่า ยังไม่อยากสนิทเร็ว แต่ก็ไม่รู้ว่ารังเกียจหรือเปล่า แต่ถ้าถามแล้วปั๊บ เค้าตอบทันทีเลยว่าไม่ว่างเพราะอะไร ยังงี้แสดงว่าไม่ว่างจริง ๆ คงไม่ได้โกหก”

วิทย์ถามต่อ “เออ เข้าท่าว่ะ  แล้วถ้าเค้าตอบว่าว่างล่ะ ? ”

รุ่งหัวเราะเพื่อนที่แสนฉลาด “ถ้าตอบว่าว่าง มึงโดดจูบเลย….. ไอ้ควาย ! เค้าตอบว่าว่างมึงยังต้องให้กูแปลอีกเหรอ ? ”

วิทย์หัวเราะ “เออ ใช่…. เฮ้ย ไม่เว้ย ถ้าเค้าตอบว่าว่าง กูถามเค้าเลยดีกว่าว่า อยากมีลูกผู้ชายผู้หญิงดี มีกี่คน”
เขาพูดแล้วหัวเราะ

“อ้ายขี้โม้ แหมเจอกันครั้งที่สอง หวังถึงแต่งเลยเหรอเนี่ย”

“ไม่แน่เว้ยรุ่ง บุพเพเว้ย ของมันไม่แน่ กูเฝ้าฝันว่าซักวันจะได้มีแฟนหมวย ๆ แบบนี้  รุ่ง วันอาทิตย์ตกลงช่วยกูเถอะนะ ไปเจอกันตอนบ่ายสี่ครึ่ง  กูว่าเรื่องชวนกูพอชวนเองได้ แต่มึงต้องช่วยหาที่ไปให้หน่อย แล้วสร้างบรรยากาศสนุก ๆ  กูเขินมากเลยว่ะ ไม่รู้จะพูดอะไร”

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

รุ่งตะโกน “คร๊าบ”
เสียงทอมดังขึ้นจากนอกห้อง “รุ่ง ชั้นเอง”

“ทอมเหรอ ? เปิดเข้ามาเลย”

สาวทอมอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ทะมัดทะแมง

รุ่งชี้มือเป็นสัญญานบอกให้นั่งลงก่อน

แล้วเขาก็คุยโทรศัพท์ต่อ  “ไม่ใช่เรื่องของกูซักหน่อย  เออ เออ กูไปตอนสี่ครึ่งแล้วกัน”

เสียงวิทย์ดังลั่นมาจากหูโทรศัพท์ “เย้  ไชโย ยังงี้ กูยอมเรียกมึงว่าพ่อวันนึง อย่าลืมนะเว้ย สี่ครึ่งที่สระโสภิณ”

ทั้งคู่ร่ำลากันด้วยคำสบถอีกหลาย ๆ คำ ก่อนวางหูโทรศัพท์

รุ่ง

รุ่งนั่งอยู่บนพื้นกลางห้องมีกีต้าร์วางพาดตัก มีลูกดิ่งวางอยู่ข้าง ๆ
ลูกดิ่งเพนดูลั่ม
ทอมทรุดตัวลงนั่งบนพื้น มองที่ลูกดิ่งของรุ่ง

“แกทำไรวะ จะเล่นกีต้าร์หรือเล่นลูกดิ่ง ?”

รุ่งยักคิ้วให้ “เล่นทั้งคู่”กีต้าร์

“เล่นไงวะ ?”

“ใช้ลูกดิ่งหาคอร์ดกีต้าร์”

อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “หาได้ด้วยเหรอ ? ”

“หาได้ซีวะ ลองมาหลายเพลงแล้ว แต่ต้องเชิญเทวดาที่เป็นเหล่าคนธรรพ์นะ จะแม่น แกไม่เคยลองใช้ลูกดิ่งถามเรื่องอื่น ๆ ที่อยากรู้เหรอ ? ”

เธอยังขมวดคิ้วอยู่ ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเรื่องจากปากเพื่อนคนนี้
“เคย แต่ไม่พิสดารเหมือนแก”

“แกไม่อยากรู้เรื่องแปลก ๆ ที่ชาวบ้านเค้าไม่รู้เหรอ ? เช่น อาจารย์สุทธิวัสส์สะดือจุ่นหรือเปล่า ?"

เพื่อนหัวเราะหึ ๆ “ไอ้นี่ ประสาทแดก”


รุ่งวางกีต้าร์ไว้บนเตียง หยิบลูกดิ่งขึ้น แล้วดิ่ง หันมาจ้องหน้าเพื่อน

“มองไรวะ ?” ทอมจ้องหน้ากลับ

อีกฝ่ายอมยิ้ม มือยังถือลูกดิ่ง กระตุกสายให้ลูกดิ่งทำงาน ตาจ้องมาที่หน้าเธอ
“แกจะทำอะไร รุ่ง ?”
“ชั้นกำลังถามลูกดิ่งว่า แกใส่บราคัพอะไร”

ทอมยกเส้นเท้าขึ้นยันโดนหน้านักเพนดูลั่ม “นี่แน่ะ”

“โอ๊ย ! ” รุ่งผงะหน้าตามแรง  “โดนนะโว้ย”

อีกฝ่ายหัวเราะหึ ๆ

“รุ่ง แฟนนี่รอคำตอบอยู่ ทำไมแกไม่เปิดมือถือวะ แฟนนี่โทรหาแกไม่ได้เลย นี่ถ้าชั้นไม่รู้เบอร์บ้านแก ชั้นคงต้องเขียนจดหมายมาหา อีเมล์ก็ไม่เปิด อะไรของแกวะ ? ”

รุ่งวางลูกดิ่งบนโต๊ะ
“อือ... มือถือหายว่ะ หายสองวันแล้ว หาไม่เจอ”
“หา... อ้าว ทำไมไม่ถามลูกดิ่งล่ะ ?”
“ถามแล้วไม่ตอบอะ ช่วงนี้ใช้เรื่องเป็นงานเป็นการไม่ได้ ไม่รู้เป็นไร… ทอม นั่งรอก่อนนะ ขอเข้าห้องน้ำล้างหน้าก่อน”

เธอมองไปรอบ ๆ ห้อง มุมที่เก็บแผ่นซีดีคงเป็นมุมที่เรียบร้อยที่สุด ส่วนที่ใส่หนังสือบนหัวเตียงมีหนังสือวางระเกะระกะ 

ทอมสือวิสาสะในฐานะเพื่อนสนิท เดินไปที่หัวเตียง เห็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมสามสี่เล่ม  เธอหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมาดู หน้าปกเป็นรูปพระสงฆ์องค์หนึ่ง  ชื่อหนังสือ

…วิธีปฏิบัติกรรมฐานแบบง่าย ๆ…

ทอมวางหนังสือลงที่เดิม แล้วเดินไปที่หน้าต่าง รูดม่านออก ให้แสงเข้ามามากขึ้น

รุ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ทอมสังเกตเห็นใบหน้าของเพื่อน

“รุ่ง แกอดนอนเหรอวะ ?”
“หือ เปล่าหนิ ทำไม ?”
“ทำไมขอบตาดำขนาดนั้นวะ ?”
เพื่อนชะงัก “หา ดำเหรอ ? ไม่ได้สังเกตว่ะ”
“อ้าว แล้วเข้าห้องน้ำไม่มองกระจกเหรอ ?”

รุ่งเดินกลับไปที่ห้องน้ำ เปิดไฟ แล้วส่องกระจก เขาเห็นรอยดำรอบ ๆ ขอบตาชัดเจน

ทอมควักลูกดิ่งในกระเป๋ากางเกงออกมา เธอนั่งลงบนพื้นข้างเตียง แล้วเริ่มดิ่ง

ไม่กี่วินาที เธอก็รู้ผล

“รุ่ง แกมีพยาธิว่ะ แกตรวจบ้างหรือเปล่า ? ”

รุ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ
“เหรอ เหรอ ? ... มิน่า มันเพลีย ๆ  ไม่ได้ตรวจว่ะ สองวันนี้ใช้ลูกดิ่งตรวจสุขภาพไม่ได้เลย ได้แต่หาคอร์ดกีต้าร์”
“ก็คงพยาธิเล่นแกแหละ หมดพลังใช้ลูกดิ่ง”

รุ่งเดินไปที่โต๊ะ หยิบลูกดิ่งขึ้นมา แล้วนั่งลงบนพื้นข้างเตียง เริ่มดิ่ง

ไม่กี่วินาที  ลูกดิ่งเริ่มทำงาน หมุน และ ดูด ตามคำถาม

เขาเงยหน้าขึ้นมา  “เออ... ใช่ว่ะ ทอม พยาธิไส้เดือน มาอีกแล้ว”
“อ้าว แล้วใช้ได้แล้วเหรอ ?”
“อือ ใช้ได้แล้ว แปลกว่ะ ทำไมสองสามวันมาใช้ไม่ได้ เดี๋ยวไปกินยาถ่ายพยาธิก่อน”

เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นในห้อง  รุ่งเดินไปรับ
“ฮัลโหล หวัดดีครับ น้านิด…”

ทอมหยิบหนังสือธรรมะเล่มหนึ่งบนเตียงขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา ปล่อยให้รุ่งคุยโทรศัพท์ไปก่อน  หนังสือธรรมะเล่มนี้ เขียนด้วยสำนวนง่าย ๆ  อธิบายความหมายต่าง ๆ ของศัพท์ธรรมะที่เธอนึกไม่ถึง

ห้านาทีถัดมา รุ่งวางโทรศัพท์ สีหน้าหงุดหงิด

“เป็นไรวะ ?” ทอมถามขึ้น
“น้านิดดิ จะให้ประเมินสุขภาพให้ใครไม่รู้” พูดแค่นี้แล้วก็ชักสีหน้าต่อ
“แล้วแกไม่พอใจเรื่องอะไร ? เค้าให้ประเมินก็ประเมินซีวะ วิชามีไว้ทำไม ? ”
“ชั้นไม่ชอบประเมินให้คนไม่รู้จัก คือ คนที่ไม่เคยได้ยินวิชาลูกดิ่งเลย ชั้นไม่อยากประเมินให้ น้านิดบอกคนนี้เป็นผู้อำนวยการบริษัทอะไรซักอย่าง เป็นโรคผิวหนัง น้านิดเลยจะส่งรูปมาให้ดู”

เพื่อนสาวเลิกคิ้วเป็นคำถามว่า แล้วยังไง

“แกเข้าใจป่าว ? ทอม คนระดับผู้อำนวยการ เสียเงินไปหาหมอก็หายแล้ว จู่ ๆ จะมาฟังวัยรุ่นแบบเราทำนายว่าเค้าเป็นโรคอะไร ใครจะมาเชื่อ  เสียเวลาว่ะ… เนี่ย น้านิดชอบไปเล่าเรื่องลูกดิ่งให้คนอื่นฟัง แล้วก็มายัดเยียดให้เราประเมินให้  คนฟังเค้ามีศรัทธาหรือเปล่าก็ไม่รู้”

อีกฝ่ายหัวเราะ “แกเรียนมาทำไมวะ ?”

“ชั้นเรียนมาเพื่อช่วยคุณย่า ไม่ได้อยากช่วยคนอื่นนักหรอก”

ทอมเริ่มไม่อยากเถียง ท่าทางวันนี้คงจะเป็นวันประจำเดือนของเขา
“รุ่ง ไปแดกยาถ่ายพยาธิซะ  แกรู้ป่าว ? เลือดน้อยทำให้แกหงุดหงิดง่าย”

เขาเดินออกนอกห้องลงไปข้างล่าง

ทอมรู้สึกในความกตัญญูที่เพื่อนคนนี้มีต่อคุณย่า  รุ่งโรจน์เป็นคนที่เป็นตัวของตัวเองสูง มีหลายบุคลิกอยู่ในคนเดียว  คาดเดาลำบาก บางครั้งเหมือนกับไม่จริงจังอะไรกับชีวิตเลย แต่บางครั้งก็จริงจังกัดติด และ ไม่ให้อภัยกับอะไรบางอย่าง  เธอรู้ดีว่ารุ่งมุ่งมั่นจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณย่าหายป่วยในครั้งนั้น  ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีบุคลิกของคนรักสุขภาพเลยแม้แต่นิดเดียว

รุ่งเดินกลับขึ้นมา ถือน้ำมาด้วยหนึ่งแก้ว แล้วยื่นให้เพื่อน

“เอ้า... น้ำมะม่วงกวนกับมะขาม แม่ฝากขึ้นมาให้”

ทอมยื่นมือรับ “รุ่ง แฟนนี่บอกว่าให้เจอที่โรงพยาบาล สี่โมงเย็น ไปได้หรือเปล่า ?”

“อือ ได้ แต่แกเล่าให้ละเอียดกว่านั้นหน่อยดิ”

“ลุงของแฟนนี่ เป็นเลขาพรรคการเมือง ป่วยมาเดือนกว่า ล่าสุด เมื่อวานแอ๊ดมิดเพราะอาการหนัก หายใจไม่ทัน ความดันตก เข้าห้องไอซียู  หมอเคยตรวจมาก่อนแล้วว่าเป็นโรคตับ”

รุ่งขมวดคิ้ว “อ๋า… หนักเลยนี่หว่า เข้าไอซียู เป็นโรคตับ ติดเหล้าป่าวเนี่ย ? อายุเท่าไหร่แล้ว ? ”

“ปล่าว ไม่ได้กินเหล้า  อายุประมาณห้าสิบกว่า คือ คุณพ่อแฟนนี่เค้าคงคิดอะไรซักอย่าง ถึงให้มารบกวนเรา”

“คิดอะไร  ระดับนี้ เลขาพรรคการเมือง ไม่ต้องคิดมากเลย ส่งเข้าโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ก็หมดเรื่อง”

ทอมหัวเราะหึ ๆ “หมดเรื่องของแกน่ะสิ แต่แฟนนี่ไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก เค้ารักลุงคนนี้มาก ชั้นก็ไม่รู้นะ เค้าคงแค่อยากได้กำลังใจจากเรามั้ง”

รุ่งนึกถึงเด็กน้อยแฟนนี่แล้วก็ยิ้ม “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา เอางี้ บอกแฟนนี่ให้พกรูปของลุงไปด้วย แล้วเราเอารูปไปให้พี่ที่วัดเชิงเลนประเมินให้”

ทอมเห็นด้วยกับเพื่อน

รุ่งเดินไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ “แฟนนี่นัดสี่โมงเย็นใช่ปะ ?  ยังพอมีเวลา”
แล้วเขาก็เปิดสวิทช์คอมพิวเตอร์
“จะทำไรเหรอ รุ่ง ?”
“จะลองดูหน้าผู้อำนวยการหน่อย”

ทอมหัวเราะหึ ๆ  เธอรู้ว่ารุ่งเป็นพวกปากว่าอย่าง แต่ใจมีเมตตา

เธอยังติดใจหนังสือธรรมะเล่มเมื่อครู่  ในเมื่อยังมีเวลาอ้อยอิ่ง เธอเลือกที่จะหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

… ทุกข์ คือ อาการทุรนทุราย ไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยได้ กับสภาวะนั้น ต้องเคลื่อนจิต หรือ เคลื่อนกาย หรือ ต้องมีกิจกรรมใด ๆ เพื่อหนีให้พ้นจากสภาวะนั้น จึงสบายขึ้น สภาวะเหล่านั้น เรียกว่าทุกข์หมด…

อ้าว.. แล้วสภาะวะไหนล่ะ ที่เราอยู่เฉย ๆ ได้โดยไม่เคลื่อนไหวกายเลย ไม่เคลื่อนจิต  มีด้วยเหรอ ? หายใจเข้าไปนี่ ถ้าไม่หายใจออกก็อึดอัดจะตายอยู่แล้ว

... ฉะนั้น จึงเรียกได้ว่า ทุกลมหายใจเข้าออก เป็นทุกข์ทั้งสิ้น เมื่อหายใจเข้าแล้ว ไม่หายใจออก ก็เป็นทุกข์ …

เอ๊ะ… ทำไมหนังสือเขียนเหมือนรู้ว่าใจเรากำลังคิดอะไร ?   ถ้าความทุกข์คืออาการทุรนทุราย ทนไม่ได้  อย่างนี้ การที่เรามีความสุขกับอะไรบางอย่าง พอเวลาผ่านไป เราเริ่มชินชากับของสิ่งเดิม ต้องหาของใหม่ที่ดีกว่า อยู่อย่างเดิมมันน่าเบื่อ  อย่างนี้ก็เรียกว่าทุกข์อีกล่ะสิ ?

… ความไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี เรียกว่า ทุกข์จากวิภวตัณหา คือ การต้องดิ้นรนเพื่อจะพ้นจากสภาวะที่เป็นอยู่ ทนอยู่ในสภาวะนั้น ๆ ไม่ได้ ต้องหาสภาวะใหม่ …

ทอมรู้สึกขนลุกชันขึ้นมาทันที  นี่หนังสือธรรมะเล่มนี้กำลังโต้ตอบกับเธอหรือไร ? 

เธอพลิกกลับไปอ่านหน้าปก เห็นรูปพระสงฆ์องค์หนึ่ง เธอเคยได้ยินชื่อนี้เหมือนกัน น่าจะเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงมาก แต่เธอไม่เคยได้อ่าน หรือ ได้สัมผัสคำสอนของท่านมาก่อน

เธอลองพลิกไปกลาง ๆ เล่ม

…ก็คุณยังไม่เจอครูที่ปราบคุณได้ไง ใจคุณก็เหมือนม้าพยศ ใครสั่งใครสอนคุณก็ไม่เชื่อ เพราะเขาไม่ใช่คู่ปรับคุณ อย่างพระพุทธเจ้าเอง ท่านใช้สัพพัญญุตาญานรู้ว่าใครเคยเป็นครูใครมาก่อน บางคน ท่านรู้ว่าต้องให้พระโมคคัลลาน์ไปกำราบ เพราะเขาไม่เชื่อไม่ฟังพระอรหันต์ท่านอื่นเลย ท่านก็ไม่เทศน์เอง แต่ให้พระโมคคัลลาน์เทศน์ อยู่หมัดเลย เพราะเคยเป็นคู่ปรับกันมาก่อน ไม่งั้นเป็นครูเป็นศิษย์กันไม่ได้หรอก…

นี่ท่านพูดกับใครเนี่ย ?  หนังสือกำลังเล่าถึงคำเทศน์ของท่านที่แสดงเทศนาที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อสามสิบปีที่แล้ว  ยิ่งอ่านยิ่งเข้าตัวเอง

พระสงฆ์

“รุ่ง ๆ พระองค์นี้เป็นใครอะ ?”
รุ่งกลับกวักมือเรียกเธอ “ทอม มานี่ดิ มาดูรูปนี่”

รุ่งมองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นรูปชายวัยกลางคน มีรอยด่างที่หน้าเป็นปื้นใหญ่สีขาวลงมาถึงคอ  เขาอ่านข้อความที่น้านิดส่งมาด้วย

“หมอตรวจแล้วบอกว่าเป็นโรคเกี่ยวกับสารเมลานินที่เป็นสารแสดงสีผิวผิดปกติ มีปัญหา จึงทำให้เป็นรอยด่าง… อือ แล้วรักษายังไงวะทอม ?”

เพื่อนสาวยืนมองที่หน้าจอ “แต่เคยเห็นคนที่เป็นแบบนี้เหมือนกันนะ แต่ไม่เคยถามว่าเค้าเป็นโรคอะไร”

“อือ ใช่ เคยเห็น แต่เนี่ย… ก็เพิ่งรู้ว่าเป็นโรคเมลานิน ชื่อเท่ซะด้วย” เขานึกอะไรขึ้นมาได้ “ทอม โทรหาอาจารย์นา” เขาหมายถึงนักเพนดูลั่มรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์สูง

“พี่นาครับ อยู่บ้านหรือเปล่า ?  ผมจะส่งไฟล์ให้พี่ดูนะครับ พี่ลองอ่านดู ผมดูแล้วไม่รู้เป็นโรคอะไร เลยไม่รู้จะตั้งคำถามยังไง”

“อือ ดี ถามพี่นาแหละเซฟสุด ๆ” ทอมเห็นด้วย 

เธอยังถือหนังสือธรรมะเล่มนั้นอยู่ในมือ  ยื่นให้เพื่อนอ่าน

“รุ่ง แก อ่านข้อความนี้หน่อยดิ  แปลว่าอะไรอะ ?”
“ไหน ?” รุ่งอ่านแล้วมองหน้า “ภาษาไทยนี่หว่า จะแปลทำไม ?”
“ม่ายช่าย ชั้นหมายถึง ความหมายน่ะ หมายความว่าอะไร อธิบายละเอียดหน่อยได้มั้ย ยกตัวอย่าง อะไรยังเงี้ยอะ ?”

รุ่งอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกครั้ง  ทอมรู้ดีว่ารุ่งเข้าใจ และ สามารถอธิบายได้

รุ่งอ่านจบ ปิดหนังสือแล้วยื่นคืนให้เธอ “ไม่เห็นมีอะไร ก็หมายความตามนั้น”

“แม่ง อะไรวะ ?” เธอยกมือเท้าเอว “แกจะโปรดชั้นหน่อยไม่ได้เหรอไง ?ทำไมแกเป็นคนแบบนี้วะ ? ” 

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะการเทศน์ของเธอ

“หวัดดีค่ะ ญาค่ะ”

เสียงปลายทางที่คุ้นหู
“ค่ะ ๆ เหรอค่ะ เดี๋ยวนะคะ ขอเปิดสปี๊กเกอร์นะคะ” เธอกดปุ่มใช้ลำโพง เสียงของอาจารย์นาดังออกมา

“น้องทอม น้องรุ่งค่ะ  ผู้ชายคนนี้เค้าเป็นด่างขาวน่ะค่ะ น้องไม่รู้จักหรือคะ ด่างขาว  มันเป็นพยาธิผิวหนังชนิดหนึ่งนะคะ หมอแผนปัจจุบันจะบอกว่าเป็นเซลผิวหนังผิดปกติ ไม่ได้มีเชื้อโรค แต่ความจริงไม่ใช่ค่ะ มันเป็นเชื้อโรคมาจากพยาธิ วิธีแก้นะคะ ก็ดื่มน้ำมะเกลือ แต่หายากหน่อย หรือ น้องถามลูกดิ่งว่าทานเม็ดมะรุมกี่เม็ดกี่วัน แค่นี้เองแหละค่ะ พี่ขอตัวก่อนนะคะ ว่าง ๆ ค่อยเจอกันนะน้อง”

สายถูกตัดไปเรียบร้อย

รุ่งปรบมือทีนึง “พี่นานี่สุดยอด รู้ทุกเรื่อง” 

เขาจัดการใช้ลูกดิ่งถามตามคำแนะนำ แล้วโทรหาน้านิด

ยาถ่ายพยาธิเริ่มให้ผล ทานเข้าไปไม่ถึงชั่วโมง เขารู้สึกว่าอาการท้องอืดน้อย ๆ ที่เคยรู้สึกมาสองสามวัน เริ่มมีเสียงครืดคราด ลำไส้เริ่มทำงาน

รุ่งวางสายแล้วเดินเข้าห้องน้ำ เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า นี่วันนี้ถ้าไม่ได้ทอมมากระตุ้นลูกดิ่งของเขา ป่านนี้คงต้องซมเพราะฤทธิ์พยาธิไปอีกวัน

ข้อความในหนังสือธรรมะที่เธอถามยังอยู่ในหัวเขา เขาเพียงแค่ขอลำดับคำอธิบายที่ง่าย ๆ ก่อนที่จะพูด ไม่ใช่เพียงแค่ตัดรำคาญแล้วไม่สนใจ  ทอมน่าจะเข้าใจ

รุ่งเดินออกจากห้องน้ำ เพื่อนสาวกำลังนั่งดูแผ่นซีดี

“ทอม ความหมายของ..”  “รุ่ง ชั้นมีอะไรจะบอก”
สองคนพูดขึ้นพร้อมกัน

รุ่งหยุด ให้ทอมพูดก่อน “ว่ามาก่อน”

“รุ่ง ชั้นอาจจะพูดไม่ตรงกับที่แกรู้ แต่ชั้นก็อยากจะพูด”

เพื่อนหนุ่มยืนนิ่ง ตั้งใจฟัง
“ว่ามา"

อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้ามาใกล้ เธอมองหน้าเพื่อน แล้วพูด


โบ๋

.... แล้วหันขวับ เดินเปิดประตูออกจากห้องไป

ปล่อยอีกฝ่ายยืนงงในคำพูด  ในหัวของเขาไม่รู้จะสรรหาเหตุผลใดมาอธิบาย
“อะไรของมันวะ ? หรือ มันโกรธวะเนี่ย ?   ไอ้ศัพท์แปลก ๆ แบบนี้มันมาจากไหน หรือ มันจะพูดว่ามันโมโห แต่มันพูดไม่ชัด..!???!!”

เรื่องเก่า ๆ เริ่มถูกรื้อฟื้นขึ้นมาในหัว เขาจำได้ วันที่รู้จักเพื่อนคนนี้ครั้งแรก
ทอมเพิ่งซอยผมสั้นก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน เธออยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ เดินคล่องแคล่วมือส่ายไปมาคล้ายนักเลง เขาบอกเพื่อน ๆ ว่าเธอน่าจะเป็นทอม เพื่อน ๆ จึงเรียกเธอว่าทอมตั้งแต่วันนั้น

สองสามวันต่อมา เธอสืบหาต้นตอจนเจอว่า เขานั่นเอง เป็นคนแรกที่กล่าวหาว่าเธอเป็นทอม เมื่อเธอรู้ เธอก็ยืนตะโกน

"อ้ายชียาม่า"

ดังลั่นห้อง ทำให้เขางงกับภาษาที่แปลไม่ออก รู้แต่ว่าเธอคงโกรธมาก

ครั้งนี้ทอมคงโกรธเหมือนกัน ถึงกับอุทานภาษาแปลก ๆ ออกมาอีก

รุ่งรีบหยิบเงิน ถุงลูกดิ่ง แล้วรีบเดินตามลงไป

“แม่ ๆ  ทอมไปไหนแล้ว ? ”
“โน่น ไปรอที่รถแล้วมั้ง เค้าลาแม่แล้ว จะไปหาแฟนนี่กันใช่มั้ยล่ะ ?”
“ใช่แม่ เดี่ยวรุ่งไปก่อนนะ”

เขารีบเดินออกมาจากบ้าน ชะเง้อหารถ

ประตูรถถูกเปิด รุ่งทรุดตัวลงนั่ง  พอเขาปิดประตู ทอมก็เคลื่อนรถออก
ท่าทางเธอไม่ได้แสดงปฎิกริยาอะไรผิดปกติ เปิดวิทยุฟังเพลง มือเคาะพวงมาลัยตามจังหวะไปเรื่อย ๆ

สักพัก รุ่งเริ่มอึดอัด

“ทอม แกว่าอะไร”
โชเฟอร์หันมามองหน้า “หา ว่าไร ?”
“ตอนที่แกอยู่บนห้องน่ะ แกเป็นอะไรวะ ? พูดอะไรไม่รู้แล้วเดินลงมา แกเป็นไรวะ ? ”
ทอมสั่นหัว “ไม่เห็นมีอะไรเลย" แล้วเธอก็อมยิ้ม

รุ่งพยักหน้ารับรู้ แล้วก็เงียบ คงจะสื่อสารอะไรไม่ได้ตอนนี้ หยุดไว้ก่อนดีกว่า

***********************************************************************************

ทอมขับรถเข้าลานจอดรถ ดับเครื่อง เปิดประตูรถ

"เดี๋ยวก่อน ทอม หัวชั้นจะแตกอยู่แล้ว แกช่วยบอกหน่อยเถอะ เวลาแกอารมณ์เสียน่ะ ทำไมแกชอบพูดศัพท์อะไรแปลก ๆ ? ชั้นฟังไม่รู้เรื่อง"

เธอเลิกคิ้ว แปลกใจกับคำถาม
"เมื่อไหร่เหรอ ?"
"ก็วันแรก ๆ ที่รู้จักกันที่มหาลัย ที่แกโมโหชั้นกลางห้องเรียนน่ะ แกก็ตะโกนอ้ายชียาม่า มันแปลว่าอะไร ?"

ทอมนั่งนึก แล้วเธอก็หัวเราะดังลั่น
"เออ ๆ จำได้แล้ว ทำไมเพิ่งมาถามวะ ? อยากรู้เหรอ ?"
จำเลยพยักหน้า

โจทก์หัวเราะร่า

"ชั้นด่าแกว่า อ้ายเชี่ย หน้าหมา ... ไม่ใช่อ้ายชียาม่า"

รุ่งหัวเราะหึ ๆ
"อือ มิน่ากูฟังไม่ออก" เขาหัวเราะกับตัวเอง "แล้ววันนี้ล่ะ แกโกรธอะไร ? แกถึงพูดคำว่า โบ๋"

"หา ! ..... แกแม่งบ้า" ทอมหัวเราะดังกว่าเก่า

"ไรวะทอม ? โบ๋คืออะไร ?"

ทอมสั่นหัวพร้อมเสียงหัวเราะ "ท่าทางแกจะประสาทจริง ๆ"

"โบ๋ คืออะไร ทอม ?"

"สะดืออาจารย์โว้ย ดิ่งถามแล้ว"

เธอตอบแล้วลุกออกจากรถ ปิดประตู ปัง !!! ทิ้งเขาให้งงอยู่กับคำตอบ

__________________________________________________________________________________________

โดย วีรยาติ

กลับขึ้นด้านบน

นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก เปิดให้จองแล้ว กดที่นี่

 

อ่านตอนต่อไป
อ่านตอนอื่น

1. สมัครสมาชิก เว๊บบอร์ดที่นี่ (หากไม่สมัครสมาชิก จะโหวต หรือ แสดงความคิดเห็นไม่ได้) และ

2. แสดงความคิดเห็น หรือ โหวต

- ชอบตัวละคร ขอเชิญโหวตได้ที่นี่

- อ่าน หรือ แสดงความคิดเห็นที่นี่

เชิญเยี่ยม Facebook หมอเถื่อน

(ให้กำลังใจโดยเข้าไป แล้วกด Like หรือ เขียนคำวิจารณ์)