ยามสายที่ไม่รีบเร่ง สมชายขับรถเช่าฮอนด้าซิตี้ออกจากโรงแรม เพื่อตรงไปยังจุดหมาย ...ร้านซินแสโจว

ในมือมีแผนที่ตัวเมืองจังหวัดภูเก็ตเป็นเครื่องนำทาง

สิบกว่าปีที่แล้วกับความทรงจำที่ยังไม่เลือนลางไปมาก สมชายขับรถมาถึงสามแยกถนนพัฒนาโดยใช้เวลาไม่นานนัก

เขาบังคับรถเลี้ยวซ้าย ตรงเข้าถนนพัฒนา แล้วถอดแว่นตา พยายามเล็งหาห้องแถวในความทรงจำ

ซ้ายมือข้างหน้า คือ ที่หมาย ห้องแถวที่มีป้ายร้านติดอยู่เหนือขอบประตู

'คลีนิคแผนจีน ซินแสโจว'

สมชายลงจากรถ เดินตรงมา หยุดยืนอยู่ที่หน้าร้านซินแส ที่ถูกปิดอยู่

วันอาทิตย์กับประตูร้านที่ถูกปิด หรือว่าคุณหมอจะหยุดทุกวันอาทิตย์ ?

เขาเอื้อมมือไปกดกริ่งประตูที่ริมกำแพง สายตามองลอดประตูรั้วเหล็กเข้าไปในร้านหมอ

สักพัก มีเสียงผู้หญิงตอบรับตะโกนออกมา

"รอเดี๋ยวนะคะ"

ผู้หญิงวัยประมาณห้าสิบกว่าปี อยู่ในชุดเสื้อคอกระเช้า สวมผ้าถุง ดัดผมหยิก ลักษณะท่าทางบ่งบอกถึงเชื้อชาติชาวจีนขนานแท้ เดินลงมาจากบันไดชั้นสอง

"มาหาคุณหมอเหรอคะ ?"

อาซิ้มเดินถือกุญแจมาที่หน้าประตูด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

"ครับ ซินแสโจวอยู่มั้ยครับ ?"

"ไม่ได้นัดไว้เหรอคะ ? ซินแสโจวไม่อยู่ ไปไต้หวัน อาทิตย์หน้าถึงกลับมา โทรมานัดก่อนก็ได้ มีเบอร์โทรศัพท์หรือยังคะ ?"

สมชายสั่นหัว

"ไม่มีครับ ผมเคยมากับญาติเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ลองมาหาอีกครั้ง ดีที่ยังจำทางได้"

อาซิ้มเดินไปที่โต๊ะ ค้นหานามบัตร

"ไอ๊หยา !... สิบปี ยังมาได้ถูก เก่งจริง ๆ คุณป่วยเป็นอะไรเหรอคะ ?"

เธอเดินหยิบนามบัตรมาที่หน้าประตู แล้วยื่นให้

สมชายยื่นมือรับบัตร

"เปล่าครับ ผมไม่ได้ป่วย แต่เป็นเพื่อนผม เค้าแขนชา ตอนนี้เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ญาติผมเคยมารักษากับซินแส มาแค่สามครั้ง หายสนิทเลย ผมก็อยากจะพาเพื่อนมารักษาบ้าง"

"ได้ค่ะ ยินดีค่ะ โทรมานัดก่อนได้เลย คุณมาจากไหนคะ ?"

"ผมไม่ได้อยู่ภูเก็ตครับ บังเอิญบินมาทำธุระ ก็เลยจะแวะมาถาม ไม่รู้ว่าอาการแขนชาอย่างนี้ ซินแสจะใช้เวลารักษานานมั้ย ? ต้องมากี่ครั้งครับ ?"

"ตอบไม่ได้หรอกค่ะ ต้องให้ซินแสแกดูเอง แกต้องแมะดู คนป่วยไม่ได้อยู่ที่ภูเก็ตเหรอ ?"

"เปล่าครับ ถ้าจะมาคงต้องบินมา แต่ถ้ามาตรวจครั้งแรกแล้ว คงจะรู้ใช่มั้ยครับ ว่าจะต้องรักษายังไง ต้องมาหาถี่เท่าไหร่ ?"

"ค่ะ ๆ ใช่ ต้องให้ซินแสแมะดูก่อน แกจะฝังเข็ม จ่ายยาให้ แล้วจะนัดว่าจะมาอีกเมื่อไหร่ แต่ก็ต้องเกินสามวัน แกจะไม่ฝังเข็มให้ใครติดกันทุกวันหรอก ฝังแล้วต้องกินยาให้ทุกอย่างค่อย ๆ คลาย ให้เวลายาออกฤทธิ์ แล้วกลับมาใหม่"

สมชายพยักหน้ารับรู้

"มีคนจากจังหวัดอื่นมาให้ซินแสรักษาบ้างมั้ยครับ ?"

อาซิ้มหัวเราะ

"โอย...! เยอะแยะ มาจากมาเลย์ สิงคโปร์ ก็มี บางคนก็มาเช่าบ้านอยู่ที่ภูเก็ตเลย สามเดือน ตอนมาก็มีคนประคองมา พอสามเดือน อีเดินได้ปกติ กลับประเทศ แล้วยังส่งญาติ ๆ มารักษาที่นี่อีก ค่ารักษาที่นี่ ถูกกว่าที่ประเทศเค้าเยอะ ซินแสโจวนี่มีชื่อเสียงนะ ปีนึง รักษาที่ภูเก็ตเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็บินไปไต้หวันทุก ๆ สองเดือน มีคนไข้ที่โน่นด้วย"

คำพูดของอาซิ้ม สร้างความมั่นใจให้กับสมชายมากกว่าเดิม เขาหยิบนามบัตรขึ้นมาอ่าน

"ครับ ผมจะโทรมานัดอีกทีที่เบอร์นี้นะครับ งั้น ผมกลับก่อนครับ" เขายกมือไหว้ลา

ระหว่างทางกลับโรงแรม สมองของเขาเริ่มประเมินค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้เป็นค่ารักษา และ ค่าที่พัก แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ เขาจะเกลี้ยกล่อมเพื่อนคนสำคัญคนนี้ให้รับการรักษาจากซินแสโจวได้อย่างไร

***********************************************************************************************

หลังจากเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางเสร็จเรียบร้อย สมชายนั่งอยู่ปลายเตียง กดโทรศัพท์มือถือหาเพื่อนคนสำคัญ

เสียงสัญญาณเรียกดังเพียงไม่กี่ครั้ง สาวปลายทางก็รับสาย

"สวัสดี สมชาย คิดถึงหรือไง ?"

เขาตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาจากปากให้เร็วที่สุด ก่อนที่ใจจะลังเล แล้วเก็บมันไว้อยู่อย่างเดิม

"ฟังนะ ตอนเรามีทุกข์มาก มีคนคนนึงให้เวลากับเราทุกวัน ให้กำลังใจ เหมือนกับให้แสงสว่างกับเราตอนที่เรามองหาอะไรไม่เจอ แล้วทุกข์ของเราก็ผ่านไปได้ด้วยเวลาแค่หกเดือน คนคนนี้ ทำให้เราเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้ง แล้วตอนนี้ เราจะตอบแทนเธอคนนี้ ด้วยทั้งหมดที่เราสร้างขึ้นเอง เราจะหาวิธีรักษาอาการของเธอคนนี้ให้หาย เราไม่ยอมรับคำปฎิเสธหรอกนะ ถ้าเธอคนนั้นยังเชื่อมั่นในตัวของเรา เหมือนที่เธอเคยพูดตลอดเวลา ก็ขอให้เธอคนนั้นเชื่ออย่างนั้น เราจะหาทางรักษาเธอให้หาย"

เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากปลายทาง

"สมชาย เธอมีเรื่องอื่น ๆ ที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว เธอจะต้องไปรับผิดชอบชีวิตคนอื่นเพิ่มอีกทำไม ?"

"มันเป็นเรื่องที่เราภูมิใจไง แค่ได้คิดว่า เราจะรับผิดชอบอาการป่วยของคนที่มีค่าสำหรับตัวเรา มันก็ทำให้เราภูมิใจแล้ว เรื่องอื่น ๆ ในชีวิตของเรา มันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว ขอเพียงแค่ให้เธอหายจากอาการที่เป็นอยู่นี้ แค่นี้ก็ทำให้เรามีกำลังใจต่อไป"

"กลัวว่าเธอคนนั้นจะเป็นอัมพาต แล้วแฟนเธอจะทิ้งเธอไปเหรอ ?"

"ไม่ เธอจะไม่เป็นอัมพาต เธอจะหายได้ แล้วจะไม่มีใครทิ้งเธอไป อย่าปฏิเสธเรา เราขอร้อง"

ปลายทางเงียบไปชั่วครู่

"เธอน่ะยังเป็นคนใจร้อนนะ สมชาย .... แต่... เธอก็เป็นคนน่ารัก ขอบคุณนะ"

"อื้อ.. แล้วเจอกัน" เขากดสัญญาณตัดสาย

น้ำตาเอ่อเต็มขอบตาอีกแล้ว

สมชายในวันนี้ ช่างมีอารมณ์อ่อนไหว เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก ตัวเขาเองก็รับรู้ได้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลงนี้

***********************************************************************************************


สมชายยื่นกุญแจห้อง คืนให้พนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ

"เช็คเอ๊าท์ครับ"

"ค่ะ เชิญนั่งรอที่ล็อบบี้ซักครู่นะคะ" พนักงานสาวผายมือไปยังล็อบบี้

เขาลากกระเป๋าเดินทางใบเล็ก เดินตรงมายังเก้าอี้โซฟาตัวที่ว่าง สายตาเหลือบเห็นชายผิวคล้ำที่คุ้นตา

ไม่ต้องใช้ความพยายามในการนึก เขาก็จำได้ทันที ชายผู้นี้คือคนที่นั่งคุยกับคุณพีรศิลป์ที่โต๊ะกินข้าว มื้อเย็นวันวาน

ชายวัยประมาณเกือบจะสี่สิบปี กับเด็กผู้ชายวัยประมาณไม่ถึงสิบขวบ นั่งที่เก้าอี้โซฟาอีกฟากหนึ่ง

เด็กคนนั้นชี้มือตรงมาที่ตัวสมชาย

"พ่อ ๆ คนนั้นไง คนที่ใส่แว่น"

คุณพ่อลุกขึ้นยืน จ้องมาที่เขา เดินจูงมือลูกชาย ตรงเข้ามาหา

ก่อนจะเข้ามาถึงตัว ชายผู้ที่เป็นพ่อ ส่งรอยยิ้มนำมาก่อน พร้อมทั้งโค้งศรีษะให้ อีกมือล้วงที่กระเป๋าเสื้อ หยิบนามบัตร แล้วยื่นให้สมชาย

"สวัสดีครับ ขอโทษที่รบกวนเวลาครับ ผมชื่อชูศักดิ์ครับ นี่นามบัตรผม"

สมชายยิ้มรับ ยกนามบัตรขึ้นอ่าน

'ชูศักดิ์ จิตแก่น ร้านเฟอร์นิเจอร์ชูศักดิ์'

ชูศักดิ์รีบแนะนำตัวเพิ่มเติม ด้วยเกรงว่า อีกฝ่าย จะเข้าใจผิด คิดว่าเขาเป็นพวกหลอกลวงต้มตุ๋น

"ผมเป็นเจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์นี้ครับ รบกวนเวลาน้องซักนิดนึงนะครับ เรื่องที่ผมจะเล่ามันออกจะฟังแล้วแปลก ๆ หน่อย แต่ขอรบกวนเวลาเพียงครู่เดียว คือ ลูกชายของผม..."

สมชายรีบยื่นนามบัตรของตัวเองกลับให้ชูศักดิ์ทันที

"นี่ครับ ผมชื่อสมชาย นี่นามบัตรผมครับ"

ทันทีที่อีกฝ่ายได้ยินสมชายเอ่ยถึงชื่อตนเอง หน้าเขาก็เจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

ชูศักดิ์ยกนามบัตรของสมชายขึ้นมาอ่าน เมื่อเห็นชื่อ และ นามสกุลชัดเจน เขารีบโค้งหัวให้

"ขอโทษด้วยครับ คุณสมชาย ท่าทางเราคงจะจำคนผิด ขอโทษด้วยครับ"

ชูศักดิ์หันไปมองหน้าลูกชาย แล้วยื่นนามบัตรให้

"เอ้า ! เจ้าเปี๊ยก อ่านซะ คุณน้าเค้าชื่อสมชาย ยกมือไหว้ขอโทษคุณน้าเค้าด้วย"

ลูกชายมีผิวขาวกว่าผู้เป็นพ่อ หน้าตาสะอาดสะอ้าน ชะโงกหน้าอ่านนามบัตร แล้วพยักหน้าช้า ๆ ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง ค่อย ๆ ยกมือขึ้นไหว้สมชาย

ชูศักดิ์ถามขึ้น

"น้องรู้ได้ยังไงว่า ผมจะถามชื่อของน้อง ?"

สมชายยิ้ม

"เมื่อวานคุณพีรศิลป์เล่าให้ผมฟังแล้วครับ คนที่คุณชูศักดิ์ไปทักเค้าเมื่อวานในร้านระย้าน่ะครับ"

ชูศักดิ์พยักหน้าหงึก ๆ

"อ๋อ ! ครับ ๆ เล่นผมหน้าแตกไปเลย ลูกชายผมเค้าบอกว่าจำผู้ชายโต๊ะข้างล่างได้ ขอให้ผมลงมาถามชื่อ ปรากฏว่าผิดคน คือ กลับขึ้นไปที่โต๊ะชั้นบน ไอ้เจ้านี่บอกเพิ่มว่า คนที่มันจำได้คือ คุณน้าที่ใส่แว่น ผมกลับลงมาอีกที ก็ปรากฏว่าโต๊ะของน้องกินเสร็จ กลับไปกันแล้ว"

สมชายมองหน้าเด็ก แล้วชี้มาที่ตัวเอง

"ตกลงเป็นคนนี้เหรอ ที่หนูจำได้ ? ไม่ใช่คุณพีรศิลป์เหรอ ?"

เจ้าเปี๊ยกพยักหน้า

"ครับ ผมจำคุณน้าได้ เราเคยรู้จักกัน"

ชูศักดิ์หัวเราะ

"พอเลย ! หยุด ๆ ไม่ต้องเล่าต่อแล้ว เสียเวลาคุณน้าเค้า"

เสียงพนักงานต้อนรับดังมาจากเคาน์เตอร์

"คุณสมชายคะ ห้องเช็คเอ๊าท์เรียบร้อยแล้วค่ะ จะให้รถไปส่งที่แอร์พอร์ตด้วยหรือเปล่าคะ ?"

สมชายหันกลับไปตอบ

"ครับ เรียกรถไปแอร์พอร์ตให้ด้วยครับ"

ชูศักดิ์ทักขึ้น

"น้องสมชาย จะไปแอร์พอร์ตเหรอ ? ให้ผมไปส่งแล้วกัน ถือว่าเป็นการขอโทษที่ทำให้เสียเวลา"

สมชายสั่นหัว

"โอ...! ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องเล็กน้อย อย่าลำบากเลยครับ"

เปี๊ยกเดินเข้าไปจับข้อมือสมชาย

"ไปด้วยกันเถอะครับ"

เขามองหน้าเปี๊ยก สายตาของเด็กน้อย ส่งคำอ้อนวอนได้มากกว่าคำพูด

ชูศักดิ์ผงกหัวแล้วผายมือ

"เชิญ ๆ มาทางนี้เลย ไม่ต้องเกรงใจ ผมไปส่งเอง"

พ่อเด็กเดินนำไปที่ประตูล็อบบี้ เด็กชายเปี๊ยก เดินจูงมือ สมชายปล่อยให้ตัวเองเดินตามเด็กน้อยโดยไม่ปฏิเสธ

ชูศักดิ์เดินนำไปยังรถกระบะวีโก้สีดำ

สมชายส่งกระเป๋าเดินทางไปวางไว้ที่นั่งเบาะหลัง ตัวเขาเองทรุดตัวลงนั่งที่เบาะหน้า เด็กเปี๊ยกนั่งเบาะหลัง

รถกระบะวีโก้เริ่มออกตัว

"ไฟลท์กี่โมงครับ ?"

"สี่โมงเย็นครับ"

ชูศักดิ์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู

"ทันถมเถ ตอนนี้เพิ่งบ่ายสอง น้องมาธุระ หรือ มาเที่ยว ?"

"มาคุยธุรกิจครับ"

"ขอโทษด้วยที่เจ้าเปี๊ยกมันสร้างปัญหา เป็นคนอื่นเค้าคงหาว่าผมกับลูกชายเป็นพวกมิจฉาชีพ จู่ ๆ ก็เดินไปทักว่าเป็นคนโน้นคนนี้"

"ไม่เป็นไรครับ แล้วน้องเค้าทักแบบนี้บ่อยเหรอครับ ?"

"มีน้องสมชายนี่แหละ เป็นครั้งแรก แต่จริง ๆ ก็มีพระเตือนมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว แม่ของเปี๊ยก คือ เมียผมนี่ เดิมทีนับถือหลวงปู่โก๊ะ ท่านเป็นพระที่มีวิชา ตอนเจ้าเปี๊ยกอายุสามขวบกว่า ๆ ก็เริ่มพูดว่าจำได้ว่าเคยเกิดเป็นใคร หลวงปู่ท่านก็เตือนแล้วว่า อย่าให้พูด อย่าให้ทัก ถูกบ้างผิดบ้าง คนเค้าจะหาว่าเราสติไม่ดี"

สมชายหันไปมองหน้าเปี๊ยก เด็กน้อยส่งยิ้มให้

"อายุเท่าไหร่แล้ว ปีนี้ ?"

"จะแปดขวบแล้วครับ"

สมชายพยักหน้า

"เกิดปีสี่เจ็ดเหรอ ?"

เด็กน้อยพยักหน้า

"ครับ"

คำตอบนี้เป็นการยืนยันกับสมชายได้ว่า หนูเปี๊ยกคนนี้ ไม่ใช่ 'เด็กสึนามิ' อย่างแน่นอน

หากนับเวลาช่วงที่เกิดสึนามิปลายปี 2547 แล้วต้องบวกเวลาการตั้งท้องของแม่ เด็กสึนามิ จะต้องคลอดกลางปี 2548 เป็นต้นไปเท่านั้น ตามที่คุณพีรศิลป์บอก

ยี่สิบนาทีถัดมา กระบะวีโก้ก็พาทั้งสามชีวิตเข้ามาในเขตท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต

รถวิ่งขึ้นสะพานเข้าสู่อาคารผู้โดยสารในส่วนขาออก

โชเฟอร์จอดรถเทียบบาทวิถี ประตูทั้งสามของรถยนต์ ถูกเปิดออก

ชูศักดิ์มุดเข้าไปหยิบกระเป๋าเดินทางที่เบาะหลัง แล้วอ้อมเดินมาให้สมชาย

"ขอบคุณครับ" สมชายผงกหัว ยื่นมือรับกระเป๋า

เปี๊ยกเปิดประตูลงจากรถ แล้วเดินเข้ามาหาผู้ที่กำลังจะเดินทาง

"น้าครับ เปี๊ยก ขอกอดทีนึงได้มั้ยครับ ?"

คำขอของเด็กน้อย เป็นที่ประหลาดใจของเขา เขาพยักหน้า แล้วคุกเข่าลง อ้าแขน

เด็กน้อยเดินเข้าไปหา โอบมือรอบคอของสมชาย แล้วซบหัวลงที่หน้าอก

มันเป็นไออุ่นที่แปลกประหลาด !

สมชายกระชับแขนเข้าที่แผ่นหลังของเปี๊ยกให้แน่นขึ้น

เด็กน้อยกระซิบเบา ๆ

"เปี๊ยก รักน้านะครับ !"

สมชายผละหน้าออกมาจ้องหน้าเด็ก คำพูดนี้ให้ความรู้สึกที่ฉงน อบอุ่น และ สับสน

เปี๊ยกเดินผละออกไปหาพ่อ

สมชายลุกขึ้น แล้วยกมือไหว้ชูศักดิ์

"ขอบคุณที่มาส่งครับ"

"โชคดีครับ" ชูศักดิ์ส่งยิ้มให้

เปี๊ยกโบกมืออำลา สมชายส่งยิ้มให้กับเด็กน้อย พร้อมกับโบกมือร่ำลา แล้วหันหลังกลับ เดินตรงเข้าประตูอาคาร

ชูศักดิ์ผลักหัวลูกชายเบา ๆ

"ไอ้ตัวแสบ ! ทำพ่อหน้าแตก เดี๋ยวไปให้หลวงปู่เทศน์ซะหน่อย ไปขึ้นรถเลย เดี๋ยวพ่อจะฟ้องหลวงปู่"

เจ้าเปี๊ยกยกมือขึ้นเกาหัว แล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูรถ มุดตัวเข้าไปนั่ง

***********************************************************************************************



ชูศักดิ์ และ ฉวีวรรณ ผู้เป็นภรรยา นั่งพับเพียบอยู่ข้างกัน ส่วนลูกชายตัวดี นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างหน้าหลวงปู่โก๊ะ

ได้รับฟังเรื่องราวที่ชูศักดิ์ได้เล่าถึงเหตุการณ์น่าขายหน้าที่ลูกชายก่อไว้ พระสงฆ์ผู้อาวุโสวัยเจ็ดสิบกว่าปีจึงหัวเราะชอบใจ

"เฮอะ ๆ ก็หลวงปู่บอกไว้แล้วไม่ใช่เรอะ ว่าอย่าทัก ? อะไรที่จำได้ก็เก็บไว้ก่อน ทักไป ผิดบ้าง ถูกบ้าง เค้าจะหาว่าเราฟั่นเฟือน แล้วยิ่งทัก ยิ่งพูดไปโดยไม่มีประโยชน์ มันจะทำให้การงานที่ใหญ่กว่าเสียหมด

เราน่ะเกิดมาทำการใหญ่ ทำการใหญ่มันทุกชาติน่ะแหละ แต่มันต้องตั้งต้นกันให้ถูกร่องถูกรอย คนที่ทำการใหญ่สำเร็จน่ะ ส่วนใหญ่คือเหล่าบรรดาพระโพธิสัตว์ เคยตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้วว่า อนาคตอยากเป็นพระพุทธเจ้า จะช่วยคนจำนวนมหาศาลให้พ้นทุกข์ เค้าเรียกว่า ปรารถนาพระโพธิญาณ

แต่คนที่ปราราถนาพระโพธิญาณ ก็ลงนรกได้เหมือนกัน พระโพธิสัตว์ลงนรกไปเป็นแถว
ลงไม่ลงคนเดียว พาพรรคพวกในแถวลงไปด้วย

โยมทั้งสองน่ะ ฟังรู้เรื่องหรือเปล่า ?

อายุเท่านี้เค้าไปถึงโสดาบันกันได้แล้ว แต่เจ้านี่มันอยากได้ของสูง ถ้าชาตินี้ขยันอีกนิด อยู่ในร่องในรอยอีกนิด กำลังของมันก็จะถึง ไปพักอยู่ที่ดุสิตได้ นี่ก็แว่บไปมา ระหว่างมนุษย์กับดาวดึงส์ เพราะแรงปรารถนาของมันเองที่รั้งไว้

กรรมเก่าที่ผูกให้เจ้านี่ต้องเกิดมาฆ่าแกงเค้าน่ะ มันหมดไปแล้ว ฉะนั้นชาตินี้ ให้มันถือศีลซะ ก่อนสิบขวบอย่าเข้ากรุงเทพ ฯ เด็ดขาด หลังสิบขวบแล้ว มันจะเลือกทางไหน ก็แล้วแต่มัน ตอนนั้น มันจะมีครูบาอาจารย์ที่มาแนะแนวทางมันได้ จะมั่นคงต่อพุทธภูมิ หรือ จะลาพุทธภูมิ ไว้ค่อยว่ากันตอนที่มันโต

ชาติก่อน ภพก่อนที่มันระลึกได้ ขอให้เก็บไว้ อย่าขยายความต่อ เรื่องมันจะยุ่งยากบานปลาย

ถ้ามันเลือกทางที่เรียบง่าย ชีวิตมันก็จะเรียบง่ายได้ แต่ถ้ามันเลือกจะเป็นคนสำคัญ มันก็จะเป็นคนที่สำคัญได้มาก กำหนดชะตาชีวิตบ้านเมืองได้เลย แต่จะพาบ้านเมืองขึ้นเขา หรือ ลงเหวก็ไม่รู้"

หลวงปู่พูดไปหัวเราะไป

ชูศักดิ์ กับ ภรรยา พยักหน้าเข้าใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลวงปู่ให้คำแนะนำแบบนี้กับเขาทั้งสอง

ชูศักดิ์พูดขึ้น

"ผมรู้แล้วครับ ผมต้องกราบขอโทษหลวงปู่ด้วย ที่ผมเองทนรบเร้าจากเจ้าเปี๊ยกไม่ไหว ผมเห็นใจเด็กมัน กลัวว่ามันจะคิดว่ามันเป็นบ้าคนเดียว กลัวว่ามันคิดว่าแม้แต่พ่อของมัน ก็ไม่เชื่อในตัวมันเอง"

หลวงปู่สั่นหัว

"เชื่อ ๆ เชื่อได้ เชื่อได้ แต่ขอให้เกินสิบขวบไปก่อน แล้วค่อยเอาของเก่าไปใช้ ตอนนี้ต้องควบคุมไว้ก่อน ไม่งั้น ได้ชิบหายกันหมด ทักผิดทักถูก เลอะเทอะ"

เจ้าเปี๊ยกหัวเราะคิกคัก เมื่อได้ยินคำลงท้ายของหลวงปู่

ชูศักดิ์พยักหน้า

"อือ ครับ ชิบหายเหมือนวันนี้ไง"

***********************************************************************************************

สมชายถือบอร์ดดิ้งพาสในมือ นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับแขกก่อนขึ้นเครื่อง

ความฉงนกับเหตุการณ์ของเด็กชายเปี๊ยกยังกวนจิตใจอยู่

เด็กแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกัน มาขอกอดตอนร่ำลา แต่ความรู้สึกของอ้อมกอดนั้นส่งสัญญาณแปลก ๆ ที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

เขากดโทรศัพท์มือถือไปหาพีรศิลป์

"สวัสดีครับ สมชายครับ ตอนนี้อยู่ที่แอร์พอร์ตแล้ว ขอบคุณสำหรับเมื่อวานนะครับ ผมมีเรื่องอะไรเล่าให้คุณพีรศิลป์ฟัง เมื่อบ่ายนี้ คุณชูศักดิ์ พ่อของเด็กเมื่อวานที่ร้านอาหาร มาหาผมที่โรงแรม ตกลงว่าคนที่เขาต้องการทัก คือ ผม ไม่ใช่คุณพีรศิลป์"

"อ้าว ! เหรอ ? เค้าไปหาคุณที่โรงแรม ? เค้ารู้ได้ยังไงว่าคุณพักที่โรงแรมนั้น ?"

"อ้าว ! ไม่ใช่คุณพีรศิลป์บอกเค้าเหรอครับ ? เค้าไม่ได้โทรไปถามเหรอครับ ?"

"เปล่า ผมไม่ได้ให้เบอร์โทรศัพท์ผมกับเค้า ตอนคุยกันก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องคุณเลย แล้วเค้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณพักโรงแรมไหน ?"

"นั่นน่ะสิ แปลกมาก เรื่องนี้ผมก็ลืมถามเค้าไป ไม่เป็นไรครับ ไม่รบกวนแล้วครับ แล้วค่อยคุยกันหลังจากได้รับสินค้าตัวอย่างนะครับ"

สมชายตัดสายของพีรศิลป์ อีกมือล้วงกระเป๋า หยิบนามบัตรของชูศักดิ์ขึ้นมา

แล้วกดโทรศัพท์ตามเบอร์ที่ระบุในนามบัตร

"สวัสดีครับ ผมสมชายครับ คุณชูศักดิ์ รบกวนถามหน่อยครับ คุณชูศักดิ์หาผมเจอได้ยังไง ? รู้ได้ยังไงว่าผมพักที่โรงแรมนั้น ?"

"อ้อ ! น้องสมชาย เจ้าเปี๊ยกน่ะแหละ เจ้าเปี๊ยกบอกว่าจำได้ว่า แต่ก่อนน้องสมชายเคยมาพักที่โรงแรมนี้ แล้วก็ชอบโรงแรมนี้"

สมชายทวนคำ

"เค้ารู้ว่าผมชอบโรงแรมนี้ ?"

สมองของสมชาย เริ่มแล่นไปมา เพื่อย้อนไปหาเหตุในอดีต

สิบกว่าปีที่แล้ว เขามาที่ภูเก็ตเป็นครั้งแรกในชีวิต ประทับใจในหลายสิ่งหลายอย่างของทริปนั้น ทั้งบรรยากาศของชายหาด บรรยากาศของเมือง และ ผู้คน รวมทั้งบรรยากาศของโรงแรมนี้

ถ้าเปี๊ยกคือคนที่เคยอยู่ร่วมทริปนั้นกับเขา หรือ อาจจะเป็นคนที่เขารู้จักในทริปนั้นจริง เปี๊ยกจะเป็นใครได้ ?

ใครในทริปนั้น ที่เขารู้จัก และ ใครคนนั้น อาจจะเสียชีวิตในเหตุการณ์สึนามิที่ภูเก็ตในเวลาต่อมา ? แล้วใครคนนั้น มาเกิดเป็นเปี๊ยก

แต่ เด็กเปี๊ยกเกิดในปี 2547 เขาก็ไม่มีทางเป็นเด็กสึนามิไปได้ เพราะเขาเกิดก่อนเหตุการณ์สึนามิ ฉะนั้นเรื่องการระลึกชาติก็ถือว่าเชื่อถือไม่ได้

แต่ เหตุใด เปี๊ยกถึงรู้ว่า เขาเคยพักอยู่ที่โรงแรมนี้มาก่อน ?

__________________________________________________________________________________________

โดย วีรยาติ

<อ่านหน้าแรก

กลับขึ้นด้านบน

พ็อคเก็ตบุคนิยายหมอเถื่อน เล่ม 2 - 4 เปิดให้จองล่วงหน้าแล้ว อ่านรายละเอียดได้ที่นี่

อ่านตอนต่อไป

อ่านตอนอื่น

สมัครสมาชิก เว๊บบอร์ดที่นี่ (หากไม่สมัครสมาชิก จะโหวต หรือ แสดงความคิดเห็นไม่ได้) และ

อ่าน หรือ แสดงความคิดเห็นที่นี่




Simple counter