ยิ้มอยู่ในชุดอีแจ๋วอีกครั้งในยามเช้า.... เสื้อแขนกุดสีฟ้า กางเกงวอร์มตัวเมื่อวาน

หากเริ่มตัดหญ้าในเวลาก่อนแปดโมงเช้า รวมเวลาเก็บกวาดหญ้า น่าจะใช้เวลารวมกันไม่เกินสองชั่วโมง หลังสิบโมงเช้า แดดจะร้อนมากขึ้นจนหลังพองแน่ ๆ

คิดได้ดังนั้น เจ้าบ้านในชุดอีแจ๋วจึงเดินมาหยิบกรรไกรตัดหญ้า

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น

ยิ้มหัวเราะขึ้นทันที ราวกับใครเล่นตลก ทันทีที่มือแตะกรรไกร โทรศัพท์กลับดังขึ้น แล้วทำไมเธอไม่ปิดโทรศัพท์มือถือเสียล่ะ ?

จะเป็นใครโทรมาก็ตาม เธอคงจะรีบตัดความ ขอตัวกลับมาตัดหญ้าให้เสร็จ

อีแจ๋วกดรับสายโทรศัพท์

"สวัสดีค่ะ ! คุณยิ้มใช่มั้ยคะ ?" เสียงปลายทางเป็นหญิงสาว

"ค่ะ ยิ้มค่ะ ?"

"ดิฉันชื่อภาวีนะคะ เป็นเพื่อนของกาญจน์ กาญจน์ให้เบอร์คุณยิ้มมาค่ะ"

ยิ้มพลันนึกถึงเพื่อนที่กาญจน์ได้เกริ่นเมื่อวานได้

"อ๋อ ค่ะ ! เพื่อนกาญจน์ คุณภาวีมีเรื่องจะปรึกษาใช่มั้ยคะ ? ว่างวันไหนคะ ?"

เสียงปลายทางตอบกลับ

"ว่างวันนี้เลยค่ะ ? คุณยิ้มว่างหรือเปล่าคะ ? กาญจน์บอกทางไปบ้านคุณยิ้มให้ภาวีรู้แล้ว ไปตอนช่วงสาย ๆ นี้เลยได้มั้ยคะ ?"

ยิ้มรู้สึกประหลาดใจปนหงุดหงิด เหมือนกับสาวคนนี้รู้ว่าเธอกำลังจะมีภารกิจสำคัญที่กำลังจะปฏิบัติ แล้วตั้งใจมาขัดขวาง

ไม่ทันที่เธอจะตอบปฏิเสธคนในสายด้วยคำพูด เสียงของท่านแม่ก็ก้องในจิต

"หัวอกของคนที่เดือดร้อน เหมือนกับคนที่วางมือไว้บนเตาไฟ ยิ่งยกมือออกได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี

ผู้หญิงคนนี้ เธอช่วยเขาได้ จงรับนัด !"

จงรับนัด ! .... ยิ้มทวนคำแนะนำของท่านแม่ในใจ

"ฮัลโหล ! คุณยิ้มว่ายังไงคะ ? ภาวีไปหาคุณยิ้มตอนช่วงสายนี้ สะดวกมั้ยคะ ?"

"ค่ะ ! ได้ค่ะ คุณภาวีคาดว่าจะมาถึงตอนกี่โมงคะ ?"

"ประมาณเก้าโมงกว่า ๆ ก็คงจะถึงน่ะค่ะ จากบ้านภาวีไป ไม่ไกลเท่าไหร่"

"ค่ะ ๆ เชิญค่ะ"

ทันทีที่กดตัดสัญญาณโทรศัพท์ ยิ้มถอนหายใจเฮือกใหญ่

******************************************************************************************

แม่หมอสาว อาบน้ำ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่ เป็นกระโปรงชุดลำลองสีครีม

เก้าโมงสิบนาที แขกผู้มาเยือนก็จอดรถเทียบที่ประตูรั้ว

เสียงปิดประตูรถ ทำให้ยิ้มรู้ว่าสาวที่ชื่อภาวีมาถึงที่หน้าบ้านแล้ว เธอจึงเดินออกมาที่ประตูรั้วเพื่อต้อนรับ

ภาวีเป็นสาวผิวสองสี รูปร่างโปร่ง ค่อนข้างสูง อายุน่าจะเป็นรุ่นพี่เธออยู่สักสองสามปี

แขกยกมือไหว้เจ้าบ้านหน้าประตูรั้ว

"สวัสดีค่ะ ! คุณยิ้มใช่มั้ยคะ ?"

เจ้าบ้านยกมือรับไหว้ แล้วเปิดประตูเชิญแขกให้เข้ามา

"ค่ะ เชิญเลยค่ะ มาคนเดียวนะคะ"

ภาวียิ้มให้ แล้วผงกหัว

"ต้องมาคนเดียวสิคะ เรื่องที่จะปรึกษานี่ ให้ใครมาด้วยไม่ได้"

ยิ้มหัวเราะ

"อ้อ ค่ะ ! เข้าใจค่ะ เชิญในบ้านเลย"

แขกสาวก้าวเท้าเข้ามาในเขตบริเวณบ้าน สนามหญ้าที่รกรุงรังเป็นที่เตะตา

"ไม่ค่อยได้อยู่บ้านนี้เหรอคะ ?"

ยิ้มรู้ทันทีว่า แขกของเธอหมายความถึง ไอ้เจ้าสนามหญ้าที่ปล่อยให้ยาวเกะกะรกหูรกตา

"ขอโทษด้วยค่ะ หญ้ารกไปหน่อย กำลังจะจัดการอยู่เร็ว ๆ นี้แล้วค่ะ เชิญในบ้านเลยค่ะ"

แม่หมอจัดแจงเชื้อเชิญให้แขกนั่งที่โซฟา แล้วเดินไปหยิบแก้วน้ำเย็นมาเสิร์ฟ

เมื่อแน่ใจว่าแขกเริ่มหายเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว ยิ้มจึงนั่งลงที่โซฟาตรงข้ามกับแขก

ตามมารยาทที่ท่านแม่ได้อบรมไว้ เธอจะไม่ถามความสัมพันธ์ใด ๆ ระหว่างภาวี กับ กาญจน์ เพื่อไม่ต้องการให้ความลับของใครคนใดคนหนึ่ง ได้ล่วงรู้ไปถึงกันและกัน

กาญจน์เองก็คงไม่อยากให้เพื่อนคนนี้รู้ว่าตัวเธอเองนั้น ได้มาปรึกษาปัญหาหัวใจกับยิ้มเมื่อวานนี้

ฉะนั้น หากไม่ใช่ภาวีเป็นคนเล่าเอง ยิ้มจะไม่ยกเรื่องของกาญจน์ขึ้นมาถาม

ภาวียกน้ำเย็นขึ้นจิบ แล้ววางบนโต๊ะ

"ภาวีเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานของกาญจน์ค่ะ ยิ้มเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับกาญจน์ใช่มั้ยคะ ? ดูหน้าตาแล้วน่าจะยังอายุไม่เท่าไหร่"

"ค่ะ ยิ้มรุ่นเดียวกับกาญจน์ค่ะ ปีนี้ยี่สิบแปดค่ะ มีเรื่องอะไรปรึกษา เชิญได้เลยนะคะ"

ภาวีพยักหน้า

"ค่ะ งั้นภาวีเรียกตัวเองว่าพี่แล้วกันนะคะ ไม่ทราบว่า พี่ต้องบอกอะไรน้องบ้าง ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด ?"

"อ๋อ ยังไม่ต้องค่ะ แค่พี่มาอยู่ที่นี่ก็พอ ให้พี่ถามเรื่องที่ตัวเองอยากรู้ก่อนค่ะ แล้วถ้ายิ้มอยากรู้อะไรเพิ่มเติม ยิ้มจะถามนะคะ"

ภาวีพยักหน้าอีกครั้ง แล้วเริ่มเล่าเรื่อง

"คือ.. พี่จะพูดตรง ๆ นะ พี่มีปัญหาเรื่องผู้ชาย เรื่องที่พี่บอกกาญจน์ไปนั้น พี่ไม่ได้บอกตรง ๆ บอกแค่ว่ามีปัญหากับสามี ทำให้กลุ้มใจ แต่เรื่องจริง ๆ คือ พี่มีใจให้กับผู้ชายคนอื่น ที่ไม่ใช่สามี แต่พี่ไม่สามารถบอกกาญจน์อย่างนั้นได้ น้องคงเข้าใจพี่นะ"

ยิ้มพยักหน้า แขกรุ่นพี่รายนี้พูดได้ตรง ไม่ต้องยกแม่น้ำ

"ค่ะ เข้าใจ พี่ภาวีเล่ารายละเอียดได้มั้ยคะ ? ที่นี่จะเก็บข้อมูลของคนที่มาปรึกษาเป็นความลับ เรื่องต่าง ๆ จะไม่มีทางออกจากห้องนี้ไปเป็นอันขาด"

หน้าตาที่แสนซื่อของยิ้ม ทำให้ภาวีมั่นใจเช่นนั้นเหมือนกัน

"ค่ะ... พี่แต่งงานมาสองปีแล้ว พี่กับสามีก็รักกันดี ไม่มีปัญหา แต่เมื่อปีที่แล้ว พี่ได้รู้จักกับผู้ชายคนนึง เป็นเพื่อนของเพื่อน วันแรกที่ได้รู้จัก เหมือนมีอะไรแปลก ๆ ดึงดูดให้พี่สนใจในตัวเค้า ความรู้สึกนี้มีตั้งแต่ได้เห็นหน้าครั้งแรกเลย ยังไม่ได้คุยด้วยซ้ำ ก็รู้สึกทันทีว่าคนนี้มีอะไรพิเศษ แล้วก็ได้มีโอกาสคุยกัน มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ คือ เราคุยกันถูกคอ แล้วพี่รู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่ละเอียดอ่อน ทั้ง ๆ ที่เค้าอายุน้อยกว่าพี่ เค้าเป็นรุ่นน้องพี่ประมาณปีสองปี แต่ความคิดของเค้าจะโตเป็นผู้ใหญ่ เรียบง่ายมั่นคง"

"นั่นคือ จากการเจอกันแค่ครั้งเดียวเหรอคะ ?"

ภาวีเกลือกตาขึ้น แล้วนึก

"อือ... จะว่ายังงั้นก็ได้นะ เพราะแค่ได้คุยกันวันแรก ก็รู้สึกว่า เค้าพูดจาน่าฟัง แล้วฉลาด แต่ไม่หยิ่ง ได้เจอแค่วันแรก ก็ถือว่า พอสมควรเลยนะ พี่ว่าหนักแล้ว"

ยิ้มขมวดคิ้ว

"หนักแล้ว ? หมายถึงอะไรคะ ?"

ภาวีหัวเราะ

"หนัก หมายถึง ความรู้สึกพี่ เหมือนโดนชก คือ เกือบจะน็อคไปแล้ว มึนไปทั้งวัน กลับบ้านไปก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะเรารู้ตัวเองเลยว่า เราเริ่มชอบเค้าแล้ว แต่ก็ตั้งสติไว้ว่า เราแต่งงานแล้ว เราคงไม่หาเรื่องให้บ้านแตกกับแค่ได้เจอผู้ชายแปลกหน้าแค่วันเดียว"

"อือ ค่ะ ! แล้วยังไงต่อคะ ?"

"แล้วมันก็ไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะถัดมาอีกไม่นาน พี่ก็ได้มีโอกาสเจอกับเค้าอีก แต่เจอกันเป็นกลุ่ม มีคนมากกว่าสามสี่คน ก่อนไปเจอ พี่ก็ทำใจก่อนแล้ว ว่าจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่พูดไม่คุยกับเค้ามากเท่าเดิม แค่ทักทายตามมารยาทก็พอ แต่เหตุการณ์กลับไม่ได้เป็นไปแบบนั้น พอได้เห็นหน้าเค้าอีกครั้ง จิตมันก็ควบคุมร่างกายไม่ได้ ทักทายแล้ว เค้าก็ทักทายตอบ แค่คำทักทายที่เค้าตอบมา มันก็ทำให้ใจพี่เตลิดไปแล้ว.... แล้ว...."

ภาวีหยุดพูด

"แล้วยังไงต่อเหรอคะ ?"

"แล้ววันนั้น พี่ก็ลืมไปหมดเลยว่า พี่ได้ตั้งใจว่าจะตัดไฟ แต่พี่กลับนั่งคุยกับเค้านานมาก ๆ มีอยู่ช่วงนึงที่เพื่อน ๆ กำลังสนุกอยู่กับกิจกรรมอื่น พี่มีโอกาสนั่งคุยกับเค้า สองชั่วโมง เราสองคนนั่งคุยกัน มันเหมือนกับว่า เกิดมา พี่ไม่เคยได้คุยกับใครในโลกใบนี้ ที่ลึกซึ้งประทับใจพี่ เท่าผู้ชายคนนี้ สองชั่วโมงนั้น มันทำให้พี่แทบลืมตัวตนไปเลยว่า พี่เป็นใคร"

ยิ้มพยักหน้าช้า ๆ

"ลืมไปเลยว่า เราแต่งงานแล้ว ใช่มั้ยคะ ?"

ภาวีกลอกตาลงต่ำ แล้วพยักหน้าช้า ๆ

"ใช่"

เสียงท่านแม่บอกข้อมูลอะไรบางอย่างให้ยิ้มรู้

"ศิลปะเหรอคะ ? เค้าเป็นคนที่คุยกับพี่ได้เรื่องศิลปะ นี่ใช่มั้ยคะ ที่พี่ภาวีประทับใจ ?"

ภาวีเบิกตาโต จ้องมาที่หน้าแม่หมอสาว

"อื้อ ! ไม่ธรรมดาเลยนะน้อง ! น้องได้ยินสิ่งที่พี่คุยกับเค้าได้ด้วยเหรอ ?"

ยิ้มรีบสั่นหัว

"เปล่า ๆ !ไม่ใช่ค่ะ แค่รู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องศิลปะ แต่ไม่รู้หรอกค่ะว่าคุยอะไรกัน"

"โอ ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกาญจน์ถึงรีบแนะนำให้พี่มาที่นี่ พี่นั่งคุยกับเค้าสองคน แล้วก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ถ้าน้องรู้ได้ว่าคุยเรื่องศิลปะนี่ ถือว่าน่าทึ่งมาก"

คำแนะนำของท่านแม่ ถูกส่งเข้ามาในจิตของยิ้มอย่างต่อเนื่อง เธอจำเป็นต้องทยอยพูดออกไปทีละประโยค

"ก่อนที่พี่จะเล่าไปไกลถึงไหน ยิ้มขอบอกก่อนว่า ตอนนี้ยิ้มรู้เรื่องราวทั้งหมดของพี่แล้ว ทั้งเรื่องที่พี่ไม่ได้เล่า หลังจากนั้น พี่ภาวีได้หาเรื่องเจอกับเค้าอีกหลายครั้ง คือ พี่เองระงับใจไว้ไม่ได้ เป็นฝ่ายติดต่อเค้าตลอด ใช่มั้ยคะ ?"

ภาวีพยักหน้า

ยิ้มพูดต่อ

"จนมาถึงวันนี้ ความสัมพันธ์ดำเนินมาเรื่อย ๆ แบบไม่มีวี่แววว่าจะหยุดได้ เพราะพี่เองก็ไม่ได้ตั้งใจจะหยุด แต่อีกใจหนึ่ง พี่ก็ยังรักสามีของพี่ และพี่ก็รู้ว่าเค้าไม่ได้มีความผิดอะไร แต่พี่เองก็สำนึกผิดอยู่ตลอดเวลา ที่มีใจให้กับคนอื่น ฉะนั้น มันก็เหมือนกับพี่มีความทุกข์ซ่อนอยู่ด้วยตลอดเวลานี้

ยิ้มเห็นถึงความทุกข์ของพี่ ในยามที่พี่กลับถึงบ้าน แล้วเห็นหน้าสามีที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จิตพี่เกิดความสงสาร แล้วก็เกลียดตัวเองที่ห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ยิ้มรู้สึกถึงความรู้สึกอย่างนั้น"

คำพูดทุกคำของแม่หมอรุ่นน้องคนนี้ เป็นจริงทุกประการ ณ บัดนี้ ใบหน้าของสามี ปรากฏขึ้นในมโนภาพของภาวี

น้ำตาก็พลันก่อตัวขึ้นรอบขอบตา แล้วเริ่มล้นออกมา

ภาวีเปิดกระเป๋าถือ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา

ยิ้มย้ำคำถามที่สำคัญ ด้วยคำพูดที่ชัด และ ช้า

"พี่ภาวี ยังรักสามีอยู่ใช่หรือไม่ ?"

ภาวีพยักหน้าทันที เธอตอบด้วยเสียงที่เครือสั่น

"ใช่ รักมาก"

แขกผู้ทุกข์ใจเงยหน้ามองแม่หมอ

"หรือ... หรือพี่ถูกเล่นของ ? พี่ถูกยาเสน่ห์ใช่หรือไม่ ? ทำไมพี่ถึงห้ามใจในเรื่องเหล่านี้ไม่ได้"

"แต่พี่ก็ห้ามกายได้ไม่ใช่หรือคะ ? พี่ไม่ได้มีอะไรกับผู้ชายคนนั้นเลยนี่คะ เค้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่มีใจให้เค้า"

ภาวีรีบพยักหน้าติดกันหลาย ๆ ครั้ง คำพูดของยิ้ม ทำให้ใจเธอชื้นขึ้นมา เรียกสติกลับมาได้บ้าง

ยิ้มใช้เวลานี้สื่อสารกับท่านแม่ เรื่องราวเริ่มกระจ่างมากขึ้นในห้วงขณิกสมาธิของเธอที่พอจะมี สิ่งที่เธอได้รับรู้สร้างความประหลาดใจให้กับเธออย่างมาก

คำอุทานหลุดออกมาจากปากยิ้ม

"อะไรมันจะฮ็อตปานนี้ ?"

ภาวีเลิกคิ้ว

"ใครฮ็อตคะ ?"

"เอ่อ เปล่าค่ะ !"

แม่หมอรีบกลับมาเข้าประเด็น

"ไม่ใช่นะคะ ไม่ใช่คุณไสย พี่ภาวีไม่ได้ถูกของ แต่จิตใจของพี่นั้นอ่อนกับผู้ชายคนนี้ เพราะ เค้าเคยเป็นคู่ครองอันดับหนึ่งของพี่ในอดีต"

ภาวีมองหน้าแม่หมอ

"คู่ครองในอดีต !"

"ค่ะ ผู้ชายคนนี้เคยเป็นสามีของพี่ภาวี ในอดีตชาติมาหลายชาติ พี่เคยรักเค้ามากในชาติก่อน ๆ แต่ในชาตินี้ คู่ครองอันดับหนึ่งของพี่นั้น คือ สามีของพี่เอง"

"คู่ครองอันดับหนึ่ง แปลว่าอะไรคะ ? คู่ครองมีหลายอันดับด้วยเหรอ ?"

"ค่ะ คู่ครองอันดับหนึ่ง คือ คนที่เราจะอยู่ด้วยได้ตลอดชีวิต จนกว่าจะตายจากกันไป ผู้ชายคนนั้น ไม่ใช่คู่ครองของพี่ในชาตินี้ ถึงแม้พี่ภาวีจะเลิกกับสามีของพี่ พี่ก็จะไม่มีวันได้อยู่กับเค้า หรือ หากพี่เลือกที่จะอยู่กับเค้า ก็จะอยู่ไม่รอด สุดท้าย พี่ก็จะต้องกลับไปหาสามีของพี่อยู่ดี"

ภาวีคิดตามคำพูดที่ได้ยิน

ยิ้มพูดต่อ

"ในเมื่อ ความจริงในอดีตเป็นแบบนี้ ชาตินี้มาเจอกัน ความรู้สึกดี ๆ มันก็ส่งข้ามชาติมาถึงกัน ถ้ารู้เท่าทัน ว่าแค่นี้ก็คือแค่นี้ ก็ควรจะห้ามความคิดได้ ที่เหลือ มันก็คือจิตใจที่อ่อนของพี่ภาวีเอง ที่ทำให้ห้ามอะไร ๆ ไม่ได้ ไม่ใช่ว่ามีมนต์ดำ หรือ อำนาจใด ๆ มาควบคุม"

สีหน้าของแขก สลด เหมือนกับฟังพระเทศน์ เฉ่งเข้ากลางใจดำ

ยิ้มมองเห็นสีหน้าของภาวี เธอรู้ว่าควรลดความแรงของคำพูด กลับมาเป็นการให้กำลังใจ

"แต่ยิ้มก็ขอชมพี่ภาวีจากใจจริงนะคะ พี่ภาวีไม่เคยปล่อยกายให้กับชายอื่นใดเลย แม้แต่สัมผัสตัวกับเค้า ก็ไม่เคย ในตามหลักศาสนาพุทธแล้ว ที่ผ่านมา พี่ภาวี ไม่ได้ทำผิดศีลข้อไหนเลยนะคะ พี่จงภูมิใจในเรื่องนี้ แล้วอย่าทุกข์ใจในเรื่องที่ผ่านมา พี่ไม่ได้ทำผิดต่อสามี เพราะพี่ยังไม่ได้ละเมิดศีลเลย"

ภาวีถามด้วยเสียงกระตือรือร้น

"จริงเหรอคะ ? พี่ไม่ได้ละเมิดศีลเลย จริงเหรอคะ ?

"ค่ะ แต่ถ้ายังห้ามใจตนเองไม่ได้แบบนี้ โอกาสที่จะผิดศีลก็มีได้มาก พี่พร้อมที่จะห้ามใจตนเองแล้วหรือยัง ? ถ้าพร้อมแล้ว ยิ้มก็จะแนะนำวิธีให้ว่าจะต้องทำยังไง"

ภาวีสูดหายใจเข้าอย่างแรง เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับหน้าอีกครั้ง แล้วพยักหน้า

"พร้อมค่ะ พี่อยากให้ชีวิตคู่ของพี่ กลับมาเป็นเหมือนเดิม พี่พร้อมที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง"

ยิ้มพยักหน้า

"ดีค่ะ ยิ้มจะแนะนำให้พี่ไปทำพิธีอะไรอย่างนึง เป็นพิธีง่าย ๆ เรียกว่าพิธีถอนคำสัญญาในอดีต ยิ้มจะอธิบายวิธีให้ แล้วจะบอกสถานที่ที่ให้ไปทำ หลังจากพี่ทำพิธีนี้แล้ว พี่ภาวีจะมีจิตใจที่แข็งแกร่งมากขึ้น เรื่องของผู้ชายคนนี้ ก็จะค่อย ๆ ออกจากสมองพี่ไปอย่างรวดเร็ว พี่ก็จะได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขกับสามีพี่ต่อไป"

แขกรุ่นพี่มีรอยยิ้มกว้างปรากฏเต็มใบหน้า

******************************************************************************************

ยิ้มนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างออกมาหาอาหารกลางวันทานที่ริมถนนใหญ่ นอกหมู่บ้าน

หลังจากก๋วยเตี๋ยวเป็ดมื้อธรรมดา ที่แสนอร่อยจบลง ความเหนื่อยล้าก็เริ่มเข้ามาแทนที่

จิตใจก็เริ่มกลับมาพะวงถึงเรื่องภาระการตัดหญ้า

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกแล้ว

หน้าจอโทรศัพท์ แสดงหมายเลขที่ไม่อยู่ในระบบความจำ

"ฮัลโหล สวัสดีค่ะ"

"สวัสดีครับ คุณยิ้มพูดสายใช่หรือเปล่าครับ ?"

"ค่ะ ใช่ค่ะ"

"ผมได้เบอร์มาจากจ่าอินท์ ที่ระนอง เค้าบอกว่าผมสามารถจะปรึกษากับคุณยิ้มได้ ผมก็เลยจะโทรมานัดครับ"

เสียงของท่านแม่แทรกเข้ามาในจิต

'ชายผู้นี้ คือ คนสำคัญคนนั้น รีบนัดเขาตามที่เขาสะดวก อย่าลังเล อย่าเลื่อนนัด'

ยิ้มรับทราบด้วยความตื่นเต้น

"ได้ค่ะ สะดวกเมื่อไหร่ดีคะ"

"พรุ่งนี้ช่วงเช้าได้เลยครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่กรุงเทพ ฯ...."

ประโยคนี้เกือบทำให้ยิ้มแทบลมจับ

พรุ่งนี้ช่วงเช้า !.... แล้วหญ้าที่รกไม่เป็นระเบียบแบบนั้น !

******************************************************************************************

หมดแรง และ หมดปัญญาที่จะจัดการกับสนามหญ้าได้ด้วยตนเอง ยิ้มจำเป็นต้องโทรหาแฟนหนุ่ม เพื่อไหว้วานให้ช่วยเหลือเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน

วิทย์รับปากว่าจะซื้อกรรไกรตัดหญ้ามาอีกหนึ่งอัน เพื่อมาช่วยเธอตัดหญ้า แล้วจะมารับที่หน้าห้างบิ๊กซี เวลาบ่ายสี่โมงเย็น

เย็นนี้ เธอกับวิทย์ คงต้องทุ่มแรงกายทั้งหมด เพื่อจัดการกับสนามหญ้าให้เสร็จ

สี่โมงตรง รถเก๋งวีออสสีเทามาตรงเวลานัด

ยิ้มเปิดประตูรถขึ้นนั่ง

โชเฟอร์ใส่แว่นกรอบดำ ส่งยิ้มให้

"เป็นไง แม่มดสาว ? เหนื่อยเหรอวันนี้ ?"

ยิ้มหัวเราะหึ ๆ

"เรียกยิ้มแม่มดอีกแล้ว เดี๋ยวยิ้มได้สาปให้เป็นหมูซะเลย"

วิทย์หัวเราะ เขาเริ่มออกรถ แล้วเร่งความเร็ว ต้องการให้ไปถึงบ้านยิ้มให้เร็วที่สุด เพื่อจัดการภารกิจตัดหญ้า

"อือ... เป็นหมูแม่งก็ดีเหมือนกัน แดกทั้งวัน ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องผ่อนรถ ไม่ต้องมาขับรถบนถนนเหี้ย ๆ ยังงี้ในกรุงทพ ฯ รถติดระยำหมาได้ทุกวัน"

ยิ้มยกมือขึ้นไหว้เหนือหัว

"เพี้ยง ! ขอให้พรุ่งนี้ตื่นมาแล้ว วิทย์กลายเป็นหมูจริง ๆ อย่างน้อย หมูก็ไม่พูดคำหยาบ"

โชเฟอร์ยิ้มแหย ๆ

"แหะ ๆ ขอโทษคร๊าบ ! ยิ้มเป็นไงวันนี้ มีแขกกี่รายเหรอ ถึงได้ดูหน้าตาเหนื่อยแบบนี้ ?"

"รายเดียวค่ะวิทย์ มีเรื่องจะเล่าให้วิทย์ฟัง ฟังแล้วจะต้องเซอร์ไพรส์"

"ว่ามา"

"แขกเมื่อวานนะ สมมุติชื่อว่า คุณเอ..."

ยิ้มไม่ต้องการบอกชื่อจริงให้คนภายนอกรับรู้ เธอจึงเลือกจะเล่าเป็นชื่อย่อแทน

"เอ๊ะ... ทำไมไม่ คุณกอไก่ล่ะ ?"

"อย่าขัดสิคะวิทย์ เพราะเดี๋ยวจะมีนายกอไก่มาด้วย จะสับสน นั่งฟังเฉย ๆ ก่อน อย่าเพิ่งขัด"

"จ้ะ ๆ"

"คุณเอ มาหาด้วยปัญหาเรื่องผู้ชาย เธอไปชอบผู้ชายคนนึง ชื่อนายกอไก่ แต่เธอสงสัยว่านายกอไก่คนนี้ อาจจะเป็นแฟนกับเพื่อนเธอคนนึงก็ได้ ยิ้มก็ให้คำตอบเธอไป เธอก็พอใจ แล้วคุณเอ หลังจากกลับไป ก็ไปแนะนำให้ คุณบี ซึ่งเป็นเพื่อนเธอ ที่กำลังมีปัญหาอยากปรึกษา ให้มาหายิ้ม วันนี้ คุณบีก็มาหายิ้ม"

วิทย์พยักหน้ารับฟัง

"คุณบี ก็มาด้วยปัญหาว่า ไปชอบผู้ชายคนนึง สมมุติว่าชื่อ นายขอไข่ละกัน เรื่องที่เซอร์ไพรส์ ก็คือ ทั้งสองคน ไม่รู้ว่า นายกอไก่ กับ นายขอไข่ คือ คนคนเดียวกัน"

วิทย์เอียงคอ

"หือ ! ยังไงนะ เดี๋ยว ! เอาใหม่ซิ นายกอไก่นี่ เป็นผู้ชายที่แขกคนแรกชอบ ใช่มั้ย ?"

"ค่ะ ใช่ แล้ว นายขอไข่ เป็นผู้ชายที่แขกคนที่สองชอบ"

"โอเค ! แล้วกอไก่ กับ ขอไข่ เป็นคนเดียวกัน อ้าว ! แสดงว่า เพื่อนสองคนชอบผู้ชายคนเดียวกัน โดยต่างคนก็ไม่ได้เล่าให้กันฟังล่ะสิ"

"ใช่ ! ท่านแม่เป็นคนบรรยายเรื่องทั้งหมด ยิ้มถึงได้รู้ แต่ยังไม่จบนะวิทย์ มีเรื่องที่จะเซอร์ไพรส์วิทย์ได้มากกว่านี้อีก"

วิทย์จอดรถที่หน้าประตูรั้วบ้านยิ้ม เขาชี้ไปที่สนามหญ้า

"อะไรจะเซอร์ไพรส์ได้มากกว่านี้เหรอ ยิ้ม ? โน่น ! เกิดอะไรขึ้นกับสนามหญ้า ?"

ยิ้มมองตามที่มือแฟนหนุ่มชี้ แล้วเธอก็ต้องตะลึง

สนามหญ้าหน้าบ้าน .... เรียบ !

หญ้าถูกตัดเกรียนสั้นอย่างเป็นระเบียบ !

ยิ้มรีบเปิดประตูลงจากรถ มายืนที่รั้ว

สนามหญ้าทั้งสนาม กลายเป็นหญ้าที่สั้นเพียงแค่ตาตุ่ม ไม่มีเศษหญ้าใด ๆ กองอยู่

วิทย์เปิดประตูรถ เดินตามมาที่รั้ว

"เกิดอะไรขึ้นเหรอยิ้ม ? ถ้าไม่ใช่ยิ้มเมา วิทย์ก็คิดว่า คงมีเทวดาลงมาตัดหญ้าให้แน่ ๆ แต่วิทย์ว่า ยิ้มคงสั่งให้คนที่โครงการเค้ามาตัดหญ้าแล้ว แต่ลืมมากกว่า นี่เค้าก็คงมาตัดให้ เพราะนี่ได้กลิ่นหญ้าเพิ่งตัดเลย"

ยิ้มพยักหน้า เธอก็ได้กลิ่นของหญ้าที่เพิ่งตัดใหม่ยังโชยอบอวลอยู่

"แต่ยิ้มไม่ได้สั่งให้เค้าตัดแน่นอน"

วิทย์หัวเราะลั่น

"เป็นไปได้ไง ? ยิ้มไม่ได้สั่งให้เค้ามาตัด แล้วเค้าปีนเข้าบ้านยิ้มเข้ามาตัดหญ้าให้ได้ยังไง ? กุญแจบ้านก็ไม่มี ใครที่ไหนจะบ้าใจดีมาตัดหญ้าให้เพื่อนบ้าน ? ฮ่า ๆๆๆๆ ตลกว่ะ !"

เจ้าของบ้านหยิบมือถือขึ้น โทรเข้าหาสำนักงานนิติบุคคลที่ดูแลโครงการ

"โทรจากบ้าน สี่สี่ ทับหนึ่งแปดค่ะ ไม่ทราบว่า ส่งคนมาตัดหญ้าที่บ้านหรือเปล่าคะ ?"

"สี่สี่ ทับหนึ่งแปดเหรอครับ ? เดี๋ยวผมดูรายการก่อน วันนี้ ไม่มีนะครับ มีแต่คิวตัดหญ้าหลังอื่น สี่สี่ทับเจ็ดเก้าครับ มีตัดที่นั่นหลังเดียว"

"เอ๊ะ ! แปลก ยังงั้น ต้องมีการสืบสวนแล้วค่ะ มีคนมาตัดหญ้าบ้านดิฉัน สี่สี่ทับหนึ่งแปด โดยที่ดิฉันไม่ได้สั่ง ดิฉันออกไปข้างนอก ล็อคกุญแจบ้านไว้ แต่พอกลับมา สนามหญ้าในบ้านกลับถูกตัด"

"เป็นไปไม่ได้ครับ เดี๋ยวผมจะไปหาที่บ้านนะครับ สี่สี่ทับหนึ่งแปดนะครับ ประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมง ผมจะไปหาที่บ้านนะครับ"

ยิ้มกดวางสาย

เธอไขกุญแจรั้วบ้านเข้ามาในบ้าน

วิทย์เดินไปดูที่กำแพง มีรอยเท้าดำเป็นปื้นอยู่ที่กำแพง

"มีคนปีนเข้ามาจริงนะยิ้ม ดูรอยเท้านี่สิ แปลกว่ะ ! ไอ้นี่มันคงบ้า เห็นหญ้าบ้านใครยาวไม่ได้ มันปีนเข้ามาตัดให้ ฮ่า ๆๆๆๆ"

วิทย์หัวเราะชอบใจ พาเอายิ้มหัวเราะไปด้วย

ไม่ถึงสิบนาที เจ้าหน้าที่โครงการหนุ่มขับมอเตอร์ไซค์มาถึงหน้าบ้าน มีชายวัยรุ่นอายุยี่สิบกว่าปีซ้อนท้ายมาด้วย

ทั้งสองคนลงจากมอเตอร์ไซค์

ยิ้มกับวิทย์เดินออกมาที่ประตูรั้ว

เจ้าหน้าที่โครงการชี้มือไปที่ยิ้ม

"ไหว้ขอโทษเค้าซะ ไอ้จั่น ! ไอ้เวรนี่ทำเรื่องเดือดร้อน"

หนุ่มจั่นตัวดำ ยกมือไหว้ยิ้ม

"ผมขอโทษครับคุณนาย เป็นความผิดของผมเอง นายเค้าสั่งให้ไปตัดหญ้าบ้านหลังที่สามซ้ายมือ ซอยสิบสาม แต่ผมฟังผิด ผมฟังเป็นซอยสาม ผมก็มาถึงบ้าน ก็สงสัยว่าทำไมใส่กุญแจบ้าน สงสัยว่าจะลืมว่าสั่งให้ตัดหญ้า แต่ผมก็เห็นว่าหญ้ายาวมาก ก็มั่นใจว่ามาไม่ผิดบ้าน ไหน ๆ มาแล้ว ไม่ให้เสียเวลา ผมก็โยนเครื่องตัดหญ้าเข้าไป แล้วก็ปีนกำแพงเข้าไป เสียบปลั๊กไฟที่โรงรถ แล้วก็ตัดให้ ตัดเสร็จก็ปีนออกมา ผมเพิ่งมารู้ว่าตัดผิดบ้าน"

สิ้นคำอธิบาย เสียงหัวเราะที่ดังลั่น ก็หลุดออกมาจากปากวิทย์

"ฮ่า ๆๆๆๆๆ โอย ! ถ้าไม่มาเจอเอง ใครจะไปเชื่อ ฮ่า ๆๆๆๆ แม่งตัดหญ้าผิดบ้าน มาตัดเอาวันที่เค้าอยากให้ตัดอยู่แล้วพอดี ฮ่า ๆๆๆๆ"

ชายหนุ่มสองคนยืนงง

ยิ้มพยักหน้าส่งยิ้มให้กับนายจั่น

"จ้ะ ๆ แล้วก็แล้วกันไป ไม่เป็นไรหรอก ชั้นก็ไม่ได้จะต่อว่าอะไร เพียงแค่ได้รู้ว่า ไม่ใช่ขโมยมาปีนบ้านก็พอใจแล้ว..."

คำพูดของยิ้ม ทำให้แฟนหนุ่ม แหกปากหัวเราะดังขึ้นอีก

"ฮ่า ๆๆๆๆๆ โจรบ้าที่ไหนมันจะตัดหญ้าให้ด้วย ? ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ โจรปัญญาอ่อนที่ไหนวะ แม่งพกเครื่องตัดหญ้าไปขึ้นบ้านชาวบ้าน ?"

ยิ้มหันมาทำตาโต

"วิทย์ หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้ ! หนวกหูบ้านอื่นนะคะ"

เงียบทันที

ยิ้มหันมาพูดกับเจ้าหน้าที่โครงการต่อ

"จริง ๆ แล้วก็ต้องขอบคุณคนตัดด้วยแหละ ชั้นก็กำลังจะหาคนตัดหญ้าให้อยู่พอดี ค่าแรงเท่าไหร่คะ ?"

เจ้าหน้าที่ยกมือห้าม

"โอ ! ไม่ต้องเลยครับ ! แค่คุณไม่เอาเรื่องเด็กมันก็ถือว่าเป็นบุญคุณแล้วครับ เที่ยวไปปีนบ้านชาวบ้านแบบนี้ เป็นบ้านอื่นคงต้องเอาเรื่องกันวุ่นวาย นี่เสร็จจากนี่ ก็ต้องไปขอโทษบ้านที่ซอยสิบสามเค้าอีก คงต้องเลื่อนไปตัดให้เค้าวันอื่น"

ยิ้มผงกหัวให้

"งั้นก็ ขอบคุณมากนะคะ คราวหลังก็ ถ้าบ้านใครเค้าล็อคอยู่ก็ไม่ควรปีนนะคะน้องนะ"

นายจั่นยกมือไหว้

ทั้งสองคนขึ้นมอเตอร์ไซค์ แล้วขี่ออกไป

ยิ้มยกมือเคาะหัวตัวเอง

"ยิ้มนี่มันโง่จริง ๆ"

วิทย์เลิกคิ้วถาม

"เรื่องอะไรเหรอ ?"

"จริง ๆ ยิ้มควรจะนึกออกตั้งแต่แรกที่เห็นว่าหญ้าถูกตัดแล้ว ว่าต้องเป็นท่านแม่ช่วยจัดการให้ ทำไมยิ้มกลับไม่นึกถามท่านนะ ? โง่จริง ๆ เรานี่"

วิทย์คิดตามแล้ว พยักหน้า

"เออ ใช่ ! ลืมนึกไปเหมือนกัน อื้อ ! แล้วเรื่องอีกเรื่องที่บอกจะเซอร์ไพรส์วิทย์ล่ะ ? ที่ยิ้มยังเล่าไม่จบน่ะ"

ยิ้มนึกขึ้นได้

"อ้อ ใช่ ! เรื่องนายกอไก่ ขอไข่นั่นน่ะ ฮ็อตจริง ๆ วิทย์ฟังดี ๆ นะคะ..."

แฟนหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ แล้วถอดแว่น เป็นการแสดงท่าทีว่า เขาตั้งใจฟังอย่างจริงจัง

"นายกอไก่ ซึ่งเป็นคนเดียวกับนายขอไข่ ที่ผู้หญิงทั้งสองคนชอบ มีชื่อจริงว่า....

...รุ่งโรจน์ !"

__________________________________________________________________________________________

โดย วีรยาติ

<อ่านหน้าแรก

กลับขึ้นด้านบน

พ็อคเก็ตบุคนิยายหมอเถื่อน เล่ม 2 - 4 เปิดให้จองล่วงหน้าแล้ว อ่านรายละเอียดได้ที่นี่

อ่านตอนต่อไป

อ่านตอนอื่น

สมัครสมาชิก เว๊บบอร์ดที่นี่ (หากไม่สมัครสมาชิก จะโหวต หรือ แสดงความคิดเห็นไม่ได้) และ

อ่าน หรือ แสดงความคิดเห็นที่นี่




Blog counter