ตอน 7

วงจรที่ต้องหยุด

สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท

วิบูลย์อยู่ในชุดทำงาน...เสื้อเชิ้ตไม่ผูกไท กางเกงแสลค รองเท้าถูกถอดวางไว้ในที่เก็บรองเท้าข้างประตู

เขาพยายามก้าวเท้าช้า ๆ เพราะถุงเท้าที่ใส่อยู่เมื่อสัมผัสกับพื้นไม้ที่ถูกขัดจนเงา ทำให้ทรงตัวได้ยากขึ้นเพราะความลื่น ทั้ง ๆ ที่จิตใจนั้นไม่ได้ช้าตาม ร้อนรนอยากจะคุยกับน้องชายมาตั้งแต่คืนวันวาน

น้อยนัดพี่ชายเจอที่ห้องโถงชั้นสองของเรือนไม้

วิบูลย์ก้าวเท้าพ้นจากบันไดขั้นสุดท้าย ก็เห็นน้องชายอยู่ในชุดลำลองของบางกอกซีดาร์ฟันปาร์ค นั่งคอยอยู่ที่เก้าอี้หวายกลางห้องโถง

น้อยลุกขึ้นยืน

"พี่ใหญ่ !"

วิบูลย์ถามขึ้นทันที

"ไหนล่ะป้ายประกาศ ? พี่หาไม่เจอ ไปติดตรงไหน ?"

"อยู่ในห้องกรรมฐานใหญ่ เดี๋ยวผมพาไปดู"

วิบูลย์สั่นหัว

"ระเบียบบ้าอะไร ? ทำไมต้องมีกฏระเบียบพวกนี้ ? แล้วคุณแม่รู้หรือเปล่า ?"

น้อยเดินนำพี่ชายลงบันได

"คนมาอยู่รวมกัน ก็ต้องมีข้อตกลงร่วมกันเพื่อความเป็นระเบียบ เป็นปกติของสังคมน่ะพี่ใหญ่"

"เดี๋ยว ! รอให้พี่เห็นมันก่อนค่อยว่ากัน น้อยรู้เรื่องพวกระเบียบนี้ทั้งหมดแล้วใช่มั้ย ?"

"รู้สิครับ ผมรู้"

"แล้วไม่มีความเห็นอะไรหรือไง ? พี่แค่ได้ฟังเรื่องห้ามคนที่ยังไม่เลิกบุหรี่มาฝึกกรรมฐาน พี่ก็ว่างี่เง่ามากแล้ว เดี๋ยวดูซิว่าจะมีกฏงี่เง่าอะไรมากกว่านี้"

"เดี๋ยวพี่ใหญ่ไปอ่านดูก่อน แล้วเราค่อยคุยกัน"

สองพี่น้องเดินลงมาถึงพื้นชั้นล่าง แล้วตรงไปที่ประตูห้องกรรมฐานใหญ่

น้อยเปิดประตูห้อง แล้วพาพี่ชายเดินไปที่ผนังฝังหนึ่ง มีแผ่นกระดาษเป็นประกาศติดอยู่

หัวข้อบนแผ่นประกาศตั้งชื่อว่า

'กฏระเบียบของผู้สนใจฝึกกรรมฐาน'

เนื้อความเป็นกำหนดข้อบังคับต่าง ๆ รวม 17 ข้อ

วิบูลย์ค่อย ๆ อ่านตั้งแต่ข้อที่หนึ่ง

เพียงแค่ข้อแรก ความไม่พอใจก็บังเกิดกับเขาในทันที

"ข้อหนึ่ง ไม่รับผู้ที่ไม่ถือศีลห้า "

วิบูลย์อ่านไปสั่นหัวไป

"ข้อแรกนี่ก็งี่เง่าแล้ว"

เขาอ่านไปถึงกลางหน้ากระดาษ

"นี่ไง ! น้อย ! ข้อนี้ ไม่รับผู้ที่ติดยาเสพติด ติดบุหรี่... อยู่ข้อนี้ ไอ้ไม่รับคนที่ไม่ถือศีลห้านี่ก็ว่าแย่แล้ว ยังมากีดกันคนติดบุหรี่อีก สถานที่นี้ตกลงมีไว้ทำไมกัน ? รับเฉพาะพระโสดาบันหรือไง ?"

น้อยพยักหน้าช้า ๆ เขาเข้าใจความคิดของพี่ชายดี

"เขาหวังดีน่ะ พี่ใหญ่ ! คนคิดกฏก็หวังว่าจะสร้างสังคมที่บริสุทธิ์ เขาหวังดีอยากให้สถาบันมีแต่คนที่สะอาด"

วิบูลย์อ่านต่อจนครบสิบเจ็ดข้อ แล้วหัวเราะ

"ไร้สาระมาก ! เหมือนเด็กซื่อบริสุทธิ์มาทำงานเพื่อสังคม เหมือนอะไรรู้มั้ย ?"

เขามองหน้าน้องชาย แล้วพูดต่อ

"เหมือนกับหมอที่ต้องการให้โรงพยาบาลปลอดเชื้อโรค ก็เลยประกาศออกไปว่า โรงพยาบาลนี้ ไม่รับคนป่วย เพราะคนป่วย จะนำเชื้อโรคเข้ามาในโรงพยาบาล"

น้อยพยักหน้าอีกครั้ง

"เข้าใจ พี่ใหญ่ ! ตอนนี้ปล่อยยังงี้ไปก่อน แล้วพี่ใหญ่รู้เรื่องกฏพวกนี้ได้ยังไง ?"

วิบูลย์ยืนท้าวเอว

"พี่แนะนำให้เฮียสี่มาฝึกกรรมฐานที่นี่ เฮียสี่นับถือหลวงพ่อที่อุทัยธานี อยากฝึกมโนมยิทธิ แนะนำไปตั้งสองเดือนกว่า เพิ่งมาเจอกันอีกทีเมื่อวาน เฮียสี่บอกว่าแกเคยมาที่นี่แล้ว แต่ที่นี่ไม่รับ เพราะคุณสมบัติไม่ผ่าน พี่ก็ตกใจ คุณสมบัติอะไร ? แกบอกว่าแกยังสูบบุหรี่อยู่ แต่ที่นี่ไม่รับคนติดบุหรี่ พี่ก็เถียงกับแกตั้งนานว่า เป็นไปไม่ได้ ที่นี่ไม่มีกฏอย่างนั้น แกบอกว่าเรื่องอื่นแกก็ไม่ผ่านอีก ยิ่งคุยยิ่งงงว่า แกไปที่สถาบันไหนมา ทำไมมีกฏระเบียบมากมาย

เพิ่งมาเห็นวันนี้ นี่ไง ! ต้องถือศีลห้า มันจะไปผ่านได้ไง ? แกเพิ่งเริ่มสนใจศาสนา อยากจะฝึกกรรมฐาน แต่เจอกฏข้อนี้เข้าไป ฝึกไม่ได้เลย กฏส้นตีนข้อนี้มันมีเพื่อกีดกัน ไม่ใช่เพื่อส่งเสริมศาสนาหรอก

ถ้าวัดปิดประกาศที่ริมรั้วว่า ไม่ยินดีต้อนรับญาติโยมที่ไม่ถือศีลห้า ลองดูซิว่าจะมีคนไปวัดมั้ย ?"

น้องชายพยักหน้าช้า ๆ อีกครั้ง เพื่อเป็นการแสดงออกว่าเข้าใจ และ รู้ถึงปัญหานี้

"คงต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน แต่รอคนที่เหมาะสมมาจัดการ เราเองไม่ควรออกเสียงอะไร เพราะยิ่งจะทำให้คนทำงานเขาทำงานลำบาก ต่างคนก็ต่างช่วยกันทำโดยไม่หวังผลตอบแทน หวังดีกันทั้งนั้น แต่มีอะไรควรเปลี่ยนแปลงก็ค่อย ๆ คุยกันได้"

วิบูลย์สั่นหัว ไม่เห็นด้วย

"คุยกันได้ ? พี่ไม่เรียกแบบนี้ว่าคุยกันได้ พอมีเรื่องนี้ขึ้นมา พี่ก็จะรื้อฟื้นเรื่องของรุ่งขึ้นมาบ้าง ไอ้คุยกันได้ครั้งที่แล้ว มันออกผลมา กลายเป็นว่า รุ่งไม่สามารถมาเหยียบที่เรือนไม้นี้ได้ คุยกันได้ประสาอะไร ?

คำว่าคุยกันได้ คือ ยอมฟังเหตุผลกันและกัน เพื่อที่จะไปด้วยกันได้ แต่คุยกับผีอะไร พี่ไม่เห็นว่าเค้ายอมอะไรเลย มีแต่รุ่งเท่านั้นที่ต้องยอมไม่มาเหยียบที่นี่ สองปีแล้ว ไม่มีใครจัดการเรื่องนี้ เรือนไม้นี้สร้างขึ้นมาทำไม ? ไหนบอกว่ารุ่งเป็นคนสำคัญสำหรับที่นี่ ?"

น้อยจับแขนพี่ชาย

"เอาน่า ! พี่ใหญ่ ! ครั้งนี้ผมคุยกับคุณแม่แน่ ๆ มีบางเรื่องที่ผมก็คิดมาอยู่แล้วว่าต้องทำอะไรซักอย่าง ถ้าปล่อยต่อไป ก็จะเริ่มหยุดลำบาก ให้ผมคุยกับคุณแม่ก่อนแล้วกัน ได้เรื่องยังไงจะบอกพี่ใหญ่อีกที"

วิบูลย์เห็นท่าทีจริงจังของน้องชาย ก็เริ่มจะเบาอารมณ์ลง

"อือ ! แล้วรุ่งทำงานที่นี่ มีความสุขดีมั้ย ?"

น้อยพยักหน้า

"ดีนะ เห็นเค้าสนุกอยู่ตลอดเวลา"

พี่ใหญ่นึกถึงหลานชายนอกสายเลือดแล้ว สั่นหัว

"นี่ถ้าเป็นคนอื่น เค้าคงตั้งข้อสงสัยมากมาย คงมีคำว่าทำไมเต็มหัวไปหมด แต่รุ่งกลับไม่มีปัญหาอะไรเลย ใครจะทำอะไร เค้าก็ไม่มีปัญหา ไม่สงสัย ไม่ถาม ไม่มีปากมีเสียง ถ้าเราไม่ให้ความยุติธรรมกับเค้า แล้วเค้าจะไปพึ่งใคร ?"

น้องชายจับข้อศอกพี่ชาย แล้วเขย่าเพื่อให้ความมั่นใจ

"ไม่ต้องกังวลหรอก ผมดูแลรุ่งได้"

วิบูลย์พัยกหน้ารับรู้

"วันนี้คุณแม่จะเข้ามาที่นี่กี่โมง ?"

น้อยยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา

"อีกชั่วโมงคงจะมาถึง พี่ใหญ่จะมากินกลางวันด้วยหรือเปล่า ?"

พี่ชายสั่นหัว

"ไม่เป็นไร ! เดี๋ยวพี่ต้องกลับเข้าไปในเมือง ตามสบาย"

*******************************************************************************************

รุ่งโรจน์เพิ่งเสร็จจากการคุยกับเจ้าหน้าที่แผนกบุคคล

สิ่งที่เขาตั้งใจทำเพื่อช่วยเพื่อนอัจฉริยะ เขาได้ทำหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่ความสามารถของเพื่อนที่จะแสดงออกมาให้ผู้สัมภาษณ์ได้สัมผัส

แม้จะรู้ว่า โอกาสที่มอแกนจะผ่านการสัมภาษณ์นั้น มีน้อยมาก เพราะบุคลิก และ วิธีการสื่อสารของเพื่อนสมองล้นคนนี้ ไม่ได้มีไว้สำหรับสื่อสารกับคนปกติในดาวเคราะห์ดวงนี้ แต่ เขาก็ยินดีลำบากเพิ่มอีก หากเพียงรู้ว่า ยังมีวิธีอื่นที่จะทำให้เพื่อน ได้บรรจุเป็นพนักงานประจำที่นี่ได้

วลีพรซ่อนร่างที่อวบท้วมไว้ในเสื้อยืดบางกอกซีดาร์ฟันปาร์คสีส้ม กางเกงแสลคขายาวสีเทา เธอลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นรุ่งเดินออกมาจากห้องประชุม

"พี่รุ่ง !"

รุ่งมีรอยยิ้มทันที เมื่อเห็นหน้าเจ้าของเสียง

"น้องลี สุดที่รัก !"

เขาเดินอ้าแขนเข้ามาทำท่าจะกอด

"มา ! ขอให้พี่ได้หอมแก้มหน่อย คิดถึงเหลือเกิน"

น้องลีหัวเราะ แล้วยกมือปัดแขน

"มาทำประเจิดประเจ้อ เดี๋ยวไปหาที่ลับ ๆ จู๋จี๋กันดีกว่า"

รุ่งหัวเราะ

"กลางวันแสก ๆ ยังงี้ มีที่ลับด้วยเหรอ น้องลี ? ไปเปิดห้องกันดีกว่า"

วลีพรหัวเราะ

"วันนี้มีเอกสารสำคัญจากสุขุมวิทต้องส่งมาที่นี่ ลีเลยต้องนำมาเอง พี่รุ่งได้ยินข่าวที่กลุ่มไตรสรณ์จะสว็อพหุ้นกับกิจบูรณาหรือเปล่า ?"

รุ่งสั่นหัว

"ไม่ได้ยิน สว็อพหุ้นอะไร ?"

"ลีได้ยินมาจากพี่แพมอีกที ปีที่แล้วกลุ่มไตรสรณ์ใช้เงินลงทุนในโครงการของไชน่าโอเวอร์ซี ฯ เยอะมาก แล้วบางธุรกิจ ก็เจอผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ของกลุ่มใหม่ จะขายบางธุรกิจออกไป แต่ราคาที่ต้องขายก็คงต่ำ มาเจรจากับกิจบูรณาแลกหุ้นกัน ดีกว่าไปขายคนอื่นได้เงินน้อย"

รุ่งพยักหน้ารับฟัง ส่วนตัวเขาไม่เคยสนใจเรื่องธุรกิจใด ๆ

"อือ ! แล้วไง ?"

วลีพรมองสีหน้าของรุ่ง เธอรู้ทันทีว่าเรื่องที่เพิ่งพูดไป เข้าหูซ้าย แล้วทะลุหูขวาของรุ่งไปเรียบร้อยแล้ว

"แล้ว.... ไปหาที่จู๋จี๋กันเหอะ ลีอยากไปดูฟลอร์เลสโคสเตอร์"

รุ่งพยักหน้า

"ได้ ! เดี๋ยวพาเดินไป"

สาวท้วมพยักหน้า

รุ่งพาวลีพร เดินออกจากส่วนออฟฟิศ เข้ามาในบริเวณสวนสนุก

ตอนสายของวันธรรมดา ลูกค้าที่เข้ามาเที่ยวเล่นในสวนสนุกมีจำนวนบางตาเป็นปกติ

สองหนุ่มสาวเดินหลบเข้าไปในเขตสตาฟรูท...ทางเดินพนักงาน ซึ่งเป็นถนนราดยางมะตอย กันไว้ให้เฉพาะพนักงานฟันปาร์คใช้เป็นถนนสัญจรระหว่างสถานที่ เพื่อไม่ให้พนักงานไปรบกวนการใช้ทางเดินร่วมกับผู้มาเที่ยวสวนสนุก

ถนนสตาฟรูท ถูกกั้นจากเขตสวนสนุกด้วยทิวของต้นไม้สูงบ้าง พุ่มไม้เตี้ย ๆ บ้าง ด้วยรั้วลวดบ้าง ตามความเหมาะสม

"นี่ถ้าน้องลีได้มาประจำที่นี่ก็ดีสิ พี่จะพาเดินสตาฟรูทตอนเย็น ๆ โรแมนติคมาก"

น้องลีหัวเราะ

รุ่งยื่นข้อศอกให้เธอคล้องมือ วลีพรสอดมือเข้าไปคล้อง แล้วหัวเราะเบา ๆ

"ควงกันกลางแดดยังงี้เลยนะ สาว ๆ อื่นเห็น ลีคงโดนตบแน่"

"ไม่มีหรอก ! มีแต่หนุ่ม"

สาวอวบหัวเราะ

"พี่ปริ๊นซ์น่ะเหรอ ? ฮ่า ๆๆๆ แล้วพี่รุ่งเป็นเก้ง หรือ เป็นกวาง ?"

รุ่งสะบัดแขนออกจากมือของวลีพร

"เชอะ ! อย่างนี้ยังแมนไม่พอหรือไง ?"

สาวท้วมหัวเราะหึ ๆ แล้วฉวยข้อศอกรุ่ง สอดมือไปคล้องเหมือนเดิม

"หุ่นพี่รุ่งคล้าย ๆ คุณธรรม์เหมือนกันนะ แต่คุณธรรม์เค้าตัวหนากว่า เตี้ยกว่านิดนึง แล้วดูแมนกว่า ถ้าพี่รุ่งอ้วนกว่านี้นิดนึงจะแมนกว่านี้อีก"

"อย่างพี่ธรรม์ไม่แมนก็ไม่รู้จะเรียกว่าไงแล้ว"

วลีพรกระตุกแขนรุ่ง

"เออ พี่รุ่ง ! เห็นสาวที่มาที่นี่กับคุณธรรม์หรือเปล่า ? ที่เค้าโพสต์รูปกันในเฟสบุคน่ะ ?"

รุ่งสั่นหัว

"พี่ไม่ได้เล่นเฟสบุค"

"โถ่ ! อดเห็นของสวย ๆ งาม ๆ คุณธรรม์โพสต์รูปผู้หญิงคนนึง ถ่ายที่ฟันปาร์คตอนกลางคืน ใส่เสื้อสายเดี่ยวสีขาว น่ารักมากเลย แต่ถามคนในออฟฟิศที่นี่ เค้าลือกันว่าเป็นแฟนของคุณธรรม์"

รุ่งนึกถึงแขกสายเดี่ยวคนสำคัญขึ้นมาได้

"เอ๊ะ ! คุณหงส์เหรอ ? ถ้าใส่เสื้อเปลือยไหล่สีขาว สายเดี่ยว ผมซอยนะ คุณหงส์ ! พี่ได้เจอวันนั้น เป็นแฟนพี่ธรรม์เหรอ ?"

"เหรอ ? พี่รุ่งได้เจอเหรอคะ ? น่าจะใช่แฟนคุณธรรม์นะ หรือ ถ้ายังไม่เป็นแฟน ก็คงเป็นคนที่คุณธรรม์ชอบมาก ถึงขนาดกล้าโพสต์ในเฟสบุคนี่ ไม่ธรรมดาแล้ว คนทั่วไปได้เห็นกันหมด"

รุ่งพยักหน้าช้า ๆ

"อือ ! นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า พี่ธรรม์ชอบผู้หญิงแบบนี้"

"แบบไหนล่ะพี่รุ่ง ? เค้าเป็นไงเหรอ ?"

รุ่งกลอกตาขึ้นข้างบน

"ไม่รู้จะอธิบายยังไง อย่ารู้เลย !"

"อ้าว ! ซะยังงั้น ! คุณธรรม์ยังหนุ่มมากเลย อายุไม่ถึงสี่สิบ ได้ขึ้นเป็นผู้บริหารธุรกิจพันล้าน แถมยังโสดด้วย เวลามีข่าวกับสาว ก็จะดังเป็นพิเศษ คนจับตามองเพียบ"

รุ่งพยักหน้า

"พี่ธรรม์เหรอ ?... เก่งพอ ๆ กับอามัณเลยล่ะ แล้วนี่พี่ควงน้องลีมาตั้งนาน ไม่เห็นมีใครมาจับตามองบ้างเลย"

ลีหัวเราะชอบใจ

"เสียดายจัง ! ผู้ใหญ่ไม่น่าเลิกล้มความคิดที่จะให้เราหมั้นกันเลยเนอะ ไม่งั้น ป่านนี้เราอาจจะได้แต่งงานกันแล้วก็ได้"

รุ่งทำปากเบะ

"โอว... โน ! พี่เลือกพี่แพมดีกว่า อุ้มได้ง่ายกว่า ฮ่า ๆๆๆๆ"

เขาหัวเราะร่า

ทางเดินเปลี่ยนจากถนนยางมะตอยมาเป็นพื้นดินแคบ ๆ หญ้ารอบข้างทางเดินถูกถางให้เตียนโล่ง ดูปลอดภัยจากสัตว์ที่ไม่พึงประสงค์

ถนนนี้พาสองหนุ่มสาวอ้อมมาบริเวณหลังเวทีใหญ่

"มิกซ์ อินซีดาร์คอนเสิร์ต หนึ่งทุ่มตรง" วลีพรอ่านป้ายผ้าที่ติดประชาสัมพันธ์อยู่บนหลังคาเวที

"ลีชอบมิกซ์นะ เท่ห์ดี หน้าตาแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าได้รางวัลศิลปินกตัญญู อยากมาดูคอนเสิร์ตจัง"

รุ่งมองไปที่ภาพใบหน้าศิลปินบนป้ายผ้า

"ปีนี้ ปีของมันเลย ! ได้ทั้งรางวัล ได้เล่นหนังด้วย งานถ่ายแบบอีก ทำไมกูไม่ดังแบบนี้บ้างวะ ?"

สาวท้วมหัวเราะ

"อิจฉาเค้าเหรอพี่รุ่ง ? อยากเห็นฟันปาร์คตอนกลางคืนจัง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปลายปีนี้ เราจะเริ่มเปิดตอนกลางคืนทุกวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ อยากเห็นที่นี่ประดับไฟ น่าจะสวยมาก ๆ"

"ลีก็มาดูคอนเสิร์ตสิ เดี๋ยวขอลายเซนมิกซ์ให้ เพื่อนกัน"

น้องลีเงยหน้ามองหนุ่มขี้อำ

"เก็บไว้หลอกคนอื่นเหอะ ! เราจะมีของที่ระลึกขายในงานคอนเสิร์ตหรือเปล่า ?"

รุ่งยักไหล่

"ไม่รู้สิ ! แต่พี่จะย้ายไปทำแผนกเมอร์แชนไดซิ่งอาทิตย์หน้าแล้ว"

ลีทำตาโต

"จริงเหรอ ? ย้ายทำไมอะ ? พี่รุ่งไม่ชอบแผนกเดิมเหรอ ?"

"เปล่า ! อาน้อยอยากให้พี่เรียนรู้งานหลาย ๆ แผนกน่ะ แต่เมอร์แชนไดซิ่งนี่น่าสนุกนะ พี่อยากให้ฟันปาร์คของเรามีของขายที่ไม่เหมือนที่อื่น แพคเกจจิ้งของสินค้าที่มีอยู่ตอนนี้ มันยังไม่โดน เดี๋ยวได้เข้าไปทำ พี่จะเปลี่ยนโฉมสินค้าให้หมด"

คนฟังหัวเราะหึ ๆ

"ใหญ่จังเลย ! พี่รุ่งเข้าไปเป็นผู้จัดการแผนกเลยเหรอ ?"

รุ่งยิ้มแหย ๆ

"แหะ ๆ เปล่าหรอก ! ก็ค่อย ๆ ไต่เต้าไปไง ทำไปซักห้าปี ก็คงได้เป็นผู้จัดการ ตอนนั้นคงสั่งเปลี่ยนได้ จะให้ฟันปาร์คเราแจกลูกอมผสมยาบ้า เด็ก ๆ จะได้ติดงอมแงม"

"พี่รุ่งเนี่ย ว่าไปเรื่อย"

รุ่งควงแขนสาวจ้ำม่ำเดินผ่านประตูรั้วเข้ามาในเขตสวนสนุก

บนชานชาลาฟลอร์เลสโคสเตอร์ ผู้เล่นเครื่องเล่นสิบกว่าคน กำลังรอคิวที่จะขึ้นไปนั่งบนรถไฟ มีเจ้าหน้าที่สาวอินเดียนทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้กับไรด์แอทเทนแดนท์หนุ่มของบางกอกซีดาร์ฟันปาร์ค

รุ่งชี้ขึ้นไปบนชานชาลา

"เห็นผู้หญิงแขกที่ใส่เสื้อยืดฟันปาร์คคนนั้นมั้ย ? ชื่อแคลร์ เป็นคนดูแลเครื่องเล่นนี้ มาจากซีดาร์มิชิแกน"

วลีพรมองตามขึ้นไป

"น่ารักดี ! พี่รุ่งชอบล่ะดิ"

รุ่งยักคิ้ว

"อือ !"

เธอมองขึ้นไปที่แคลร์อีกครั้ง แล้วพยักหน้า

"โอเค ! อนุญาตค่ะ ! รีบ ๆ จีบซะ ก่อนที่เค้าจะกลับประเทศไป"

รุ่งชะงัก

คู่ควงสาว รีบเดินหลบแดดเข้าไปใต้ร่มเงา เพื่อรอดูฟลอร์เลสโคสเตอร์ เคลื่อนที่ออกโลดแล่นบนรางรถไฟ

รุ่งยังยืนนิ่งอยู่กลางแดด

"พี่รุ่ง ! ยืนทำอะไรตรงนั้น ?"

เขาค่อย ๆ เดินตามวลีพรเข้ามาในร่ม

"พี่รุ่งเป็นอะไร ? ปวดอึกะทันหันเหรอคะ ?"

รุ่งหัวเราะหึ ๆ

"นึกถึงวงจรอุบาทว์แล้วยังขนลุกไม่หาย"

คนฟังตั้งสติไม่ทัน เรื่องราวต่อจากการสนทนาครั้งไหนกัน ถึงทำให้เขาพูดประโยคนี้ออกมา ?

"วงจรอุบาทว์อะไรคะ ?"

"มันเป็นวัฏจักรหลุมดำ ดูดเราเข้าไป เวลาเราจะหายไปเฉย ๆ โดยไม่รู้ตัว เราจะไม่สนใจเวลาเลย ไม่ว่าเช้าสายบ่ายเย็น หิวข้าว ง่วงนอน ไม่สนใจอะไรเลย วงจรนี้มันเริ่มต้นด้วยคำว่า ...ไฮ !..."

เสียงรถไฟเหาะกระทบรางดังลั่น ทำให้วลีพรหันกลับไปดู

โรลเลอร์โคสเตอร์ขบวนสีเหลือง ทิ้งตัวลงมาอย่างรวดเร็วบนรางที่ลาดชัน เสียงกรีดร้องเฮฮาของผู้เล่นบนรถไฟได้ยินมาถึงคนข้างล่าง

เธอหันหน้ามาหารุ่ง

"ซือก้อยเนอะ ! พี่รุ่ง"

รุ่งยกมือผลักหัววลีพรเบา ๆ

"แน่ะ ! เอาศัพท์ของเค้าไปใช้ได้ไง ?"

**********************************************************************

วินัยขับรถกระบะเข้ามาในเขตลานจอดรถของเรือนไม้

คนที่นั่งข้างหน้าคู่กับโชเฟอร์ คือ นายเอก จงมีทรัพย์ หรือ แอนดี้ ทิดสึกใหม่จากวัดนาคโขง ที่สวมหมวกแก๊ปสีดำปิดบังเส้นผมที่สั้นเต่อ

ทิดเอกมองดูสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยจากเมื่อสองปีที่แล้ว

"อาคารพวกนี้เพิ่งปลูกใหม่เหรอ ?"

แอนดี้ถามขึ้น

วินัยพยักหน้า

"ครับ เป็นหอพักสำหรับพนักงานสวนสนุกครับ วันนี้คุณหญิงนัดคุณแอนดี้ที่ห้องอาร์เอ็มเอครับ"

รถยนต์ถูกดับเครื่องแล้ว

"ได้ ! เดี๋ยวผมขอเดินดูรอบ ๆ ก่อนนะ ต้องทำความรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่นี่ก่อน"

วินัยมองหน้าทิดเอก

"ผู้ใหญ่ที่ไหนอีกครับ ? ใหญ่กว่าคุณหญิงนี่ไม่มีแล้วครับ"

แอนดี้หัวเราะ แล้วเปิดประตูลงจากรถ

สภาพเรือนไม้ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย รอบ ๆ เรือนไม้มีสนามหญ้าเพิ่มความเขียวให้กับบรรยากาศมากขึ้น ต้นไม้เล็ก ๆ ที่เพิ่งปลูกเมื่อสองปีที่แล้ว เริ่มโตพอที่จะเป็นร่มเงาได้บ้าง

จุดหมายแรกของเขาคือ ศาลพระภูมิ ที่ตั้งอยู่ด้านหน้า ห่างจากบันไดทางขึ้นเรือนประมาณยี่สิบก้าว

ทันทีที่เข่าของทิดเอกจรดลงที่พื้น ฝนก็เริ่มปรอยละอองลงมา

แอนดี้เงยหน้าขึ้นมองบนเรือนศาล ตั้งจิตนอบน้อม อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ระลึกถึงบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญมาในอดีตชาติจนถึงปัจจุบัน รวมทั้ง ภารกิจอันเป็นกุศล ที่จะได้บำเพ็ญต่อไปในอนาคต ขอบุญกุศลเหล่านั้น จงได้สำเร็จแก่เจ้าที่ เทวดาอารักษ์ และ ชาวโลกทิพย์ทั้งหลายที่อยู่ภายใต้อาณาเขตนี้

เทวดาในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาวสวมชฏา มีรูปร่างใหญ่ สูงอายุ หน้าตาราวกับผู้อาวุโสอายุแปดสิบกว่าปี ปรากฏกายขึ้นในมโนจิต

"ขอบคุณในน้ำใจของเอ็งนะ ฝนอวยชัยนี่เป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อรับขวัญเอ็ง"

แอนดี้เริ่มสนทนากับเทวดาเจ้าที่ด้วยจิต

"ผมเรียกท่านว่าอะไรดีครับ ?"

"เรียกว่าปู่ใหญ่แล้วกัน ข้าอยู่ตรงนี้มาเป็นร้อยปีแล้ว อาณาเขตของข้านั้นครอบคลุมเรือนไม้หลังนี้ แล้วก็ยาวไปถึงรั้วโน้น ส่วนด้านมุมนี้ก็ไปจนถึงทางเดินที่เอ็งเห็นนั่นแหละ เลยจากตรงนี้เข้าไปในสวนสนุกนั่น เป็นของเจ้าที่สวนสนุก ไม่ใช่ของข้า"

แอนดี้มองไปทั่วบริเวณ

"ครอบคลุมอาคารหอพักพนักงานโน่นด้วยสิครับ"

"ใช่ ๆ ! ตรงโน้นเขามีศาลพระภูมิของเขาเหมือนกัน มีคนในหอพักชอบเอาของมาเซ่นไหว้ มันก็ข้าเองน่ะแหละที่รับผิดชอบ จะเซ่นไหว้ตรงโน้น หรือ มาตรงนี้ ก็ข้าเองนั่นแหละที่ดูแล"

แอนดี้พยักหน้า

"ครับ ! ท่านชอบอะไรเป็นพิเศษครับ ? อาหารอย่างไหน ? ผลไม้แบบไหน ? ดอกไม้แบบไหน ?"

ท่านปู่ใหญ่หัวเราะชอบใจ

"ฮ่า ๆๆๆ ! ใครสอนเอ็งมานะ ? สอนมาดีนี่หว่า ! ข้าไม่ต้องการสิ่งพวกนั้นหรอก เอ็งอยากจะแสดงความเคารพข้าด้วยอะไร แล้วแต่เอ็ง ข้ารับได้ แต่สิ่งที่ข้าอยากจะได้คือ ถ้าเอ็งมาเผยแพร่ธรรมะที่นี่ แต่ละครั้งที่เอ็งเผยแพร่ เอ็งก็อย่าลืมเรียกข้าให้โมทนาบุญด้วยแล้วกัน แค่นี้แหละที่ข้าต้องการ"

"ครับ ท่านปู่ใหญ่ ! มีอีกคำถามครับ สัมภะเวสี วิญญาณเร่ร่อน เข้ามาได้ถึงเขตไหนครับ ?"

"ไอ้พวกเร่ร่อนทั่วไป เข้าในเขตเรือนไม้ไม่ได้เลย ยกเว้นพวกที่เป็นเจ้ากรรมโดยตรง อันนี้ข้าห้ามไม่ได้"

แอนดี้พยักหน้าเข้าใจ

"ครับ ถ้ายังงั้น หมดคำถามแล้วครับ ถ้าผมมีเรื่องจะสนทนากับท่าน ผมจะมาที่ตรงนี้อีกได้มั้ยครับ ?"

เสียงหัวเราะของเทวดาเจ้าที่ดังขึ้นอีก

"ฮ่า ๆๆๆ ! เอ็งมีตาทิพย์แล้วเอ็งจะมาคุกเข่าที่นี่ทุกครั้งอีกทำไม ? เอ็งอยากจะคุยกับข้าตรงไหนก็ได้ วันนี้เอ็งมาคุกเข่าพอเป็นพิธีครั้งแรกครั้งเดียวก็พอ ครั้งต่อไป จะคุยกับข้าตรงไหน ข้าก็ไปคุยด้วยได้"

ทิดเอกยกมือไหว้อีกครั้ง

"ขอบคุณในความกรุณาของท่านปู่ใหญ่"

**********************************************************************

น้อยเดินนำแอนดี้มาที่หน้าห้องกรรมฐานใหญ่ เพื่อทำความรู้จักกับครูสตีฟ

"วันนี้ครูสตีฟมีสอนพลังจิตช่วงเย็น แต่ท่านมาแต่เช้าเลย" น้อยผายมือไปที่ครูอภิญญาฝรั่ง

แอนดี้ยกมือไหว้ฝรั่งอาวุโสวัยหกสิบกว่าปีที่มีศรีษะเถิก ผมสีขาวเป็นธรรมชาติ

สตีฟยกมือรับไหว้

"สวัสดีครับ ! ยินดีต้อนรับ ผมเป็นศิษย์ที่หลวงพ่ออุทัยธานีสอนกรรมฐานให้ด้วยตัวท่านเองที่เยอรมัน"

แอนดี้เบิกตาโพลง

"ได้เรียนกับท่านด้วยตัวเองเลย ?"

"ใช่ครับ ! ได้เรียนตอนที่ท่านไปเผยแพร่ความรู้ให้กับญาติโยมที่เยอรมันเมื่อปีสามหนึ่ง ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว"

"คุณสตีฟพูดไทยได้ชัดมาก ๆ"

สตีฟหัวเราะ

"ผมสวดมนต์บาลีได้ชัดเท่ากับคนไทยด้วย !"

ทั้งน้อย และ แอนดี้ หัวเราะพร้อมกัน

แอนดี้ถามขึ้น

"คุณสตีฟสอนวิชาอะไรเหรอครับ ?"

"ผมสอนญาณแปด แล้วก็วิชาเสริมอื่น ๆ เช่น พลังจิตในการรักษาโรค แล้วก็เรกิ"

คนถามขมวดคิ้ว

"เรกิ คืออะไรครับ ?"

"เรกิคือวิชาปรับสมดุลย์ร่างกายโดยใช้พลังธรรมชาติ แล้วรักษาโรคได้ วันไหนคุณแอนดี้ว่าง ผมจะเล่าให้ฟัง"

แอนดี้พยักหน้า

"ดีเลยครับ ! ผมขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ด้วย ยิ่งรักษาโรคได้นี่ ผมยิ่งสนใจ เพราะผมต้องป่วยทุกวันเป็นอาชีพ ถ้ามีวิชาอะไรจะทำให้อาการทุเลาลงบ้างก็คงจะดี"

สตีฟถามกลับบ้าง

"ป่วยทุกวัน ? ทำไมถึงต้องป่วยทุกวัน ?"

"เอางี้ครับ วันไหนถ้าเราสองคนว่าง แล้วนั่งคุยกัน ผมจะเล่าให้ฟัง แล้วก็จะขอเรียนวิชาจากครูสตีฟด้วย"

สตีฟพยักหน้า

"ได้ ๆ ! แต่ออร่าของคุณไม่ป่วย ไม่มีจุดไหนที่แสดงให้เห็นว่าคุณป่วยอยู่"

แอนดี้เอียงคอด้วยความสงสัย

น้อยเป็นผู้อธิบายแทน

"คุณสตีฟรู้จักวิธีมองออร่าของคนป่วย ออร่าคือพลังงานที่แสดงออกมาเป็นสี บอกได้ว่าเราป่วยตรงไหน คุณสตีฟเป็นครูสอนเรื่องการดูออร่าคนป่วยด้วย"

ทิดเอกรีบยกมือไหว้สตีฟ

"ถ้างั้น ผมถวายตัวเป็นลูกศิษย์เลย ถ้าไม่รังเกียจผม โปรดสอนวิชาพวกนี้ให้ผมด้วยนะครับ ตอนนี้ผมอาจจะดูดี แต่ตกเย็นเมื่อไหร่ ผมก็จะกลายเป็นคนละคน"

ฝรั่งอาวุโสพยักหน้ารับ

"เราลูกหลานหลวงพ่อ ฯ เหมือนกัน ยินดีเสมอครับ"

**********************************************************************

 

อ่านหน้าต่อไป >
สั่งซื้อ นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก กดที่นี่