| |||||||
| |||||||
สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท สุวรรณศรพรหม กำลังเจริญสมาธิอยู่ริมสระโบกขรณี ในจักรวาลของสุภภิณหพรหม (สุภภิณหพรหม คือ พรหมชั้นที่ปฏิสนธิจากการตายโดยเข้าฌานได้ในระดับตติยฌาน พรหมชั้นสุภภิณหจะมีรัศมีร่างกายคล้ายรัศมีของดวงจันทร์ทาบทอง เปล่งรัศมีรวมกันอยู่เป็นวงกลมสวยงามตลอด) เสียงประกาศกึกก้องของผกาพรหม ดังมาถึงโสตทิพย์แห่งสุวรรณศร "สัพเกศีพรหม ตัดสินใจจุติไปกู้บ้านเมืองที่เคยร่วมบุญ พรหมใดที่บำเพ็ญบารมีร่วมกันมา ขออาสาลาจุติไปเป็นสหชาติได้ ณ บัดนี้" สุวรรณศรพรหม ได้ปรากฎกายทิพย์ ณ อาภัสสราพรหมจักรวาล เพื่อเรียกหาสหายในอดีต ครานั้น บรรดาพรหมในชั้นอาภัสสราที่เคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันกับสุวรรณศรพรหม ได้มารวมตัวกันเพื่อสนทนา สุวรรณศรพรหมกล่าว "กาลที่รอคอยได้มาถึงแล้ว ท่านสัพเกศีพรหมที่บำเพ็ญธรรมเพื่อพระโพธิญาน ตัดสินใจจุติเพื่อไปกำเนิดเป็นผู้นำช่วยเหลือชาติพันธุ์โยนก ซึ่งจะประสบผลสำเร็จ ได้ชัยในเวลาไม่ช้านานนัก หากแต่การนี้ อุปสรรคอย่างหนึ่งที่จะเป็นขวากหนามสำหรับท่านสัพเกศีพรหม คือ นายทหารขอมดำซึ่งเป็นอดีตคู่ปรับกับตัวข้า สุวรรณศร มาหลายชาติภพ หากในชาตินี้ ข้าจะจุติถือกำเนิดไปเพื่อกำราบคู่ปรับเก่า ก็จะมีผลให้ท่านสัพเกศีพรหม สำเร็จภารกิจได้ง่ายดายขึ้น เนื่องด้วยท่านสัพเกศีพรหม มิได้เป็นคู่ปรับกับนายทหารท่านนี้มาแต่เก่าก่อน จึงจะพบความยากลำบากในการต่อกร ข้าจึงจะลาจุติเพื่อกำราบเจ้าขอมดำที่มีมิจฉาทิฎฐิ" อาภัสสราพรหมท่านหนึ่ง ถามขึ้น "ขอมดำท่านนี้ มีนามว่าอย่างไร ?" "ขอมดำนายนี้ กำเริบคิดว่ามีพลังยิ่งใหญ่เช่นอาทิตย์ จึงตั้งนามตัวเองเปรียบกับพลังที่ยิ่งใหญ่แห่งสุริยะ เขามีนามว่า 'โสริยะ' นามนี้ ตั้งขึ้นเพื่อหวังจะปราบทุกสิ่งในจักรวาลนี้ให้ไหม้เกรียม เปรียบเหมือนพลังของอาทิตย์ที่ไม่มีพลังใดต้านทานได้ ในเวลาอีกไม่นาน โสริยะจะได้เป็นใหญ่ในกองทัพขอมดำ แต่ข้านั้น ไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ ต่อพลังจากมิจฉาสมาธิ ข้ามีเพียงแต่รัศมีนวลของดวงจันทร์ กับสัมมาสมาธิเท่านั้น ข้าพร้อมจะพิสูจน์ว่า พลังที่อ่อนโยนอย่างดวงจันทร์นั้น จะปราบพลังแห่งอาทิตย์ได้ หรือ ไม่ ในการนี้ ท่านผู้ใดที่เคยเป็นคู่ปรับกับโสริยะมาเก่าก่อน จะอาสาจุติไปช่วยสัพเกศีพรหม ขอให้ท่านรีบเจริญสมาธิ ดับกายทิพย์ ลาจุติโดยเร็ว" อาภัสราพรหมจำนวนหลายร้อย ต่างเปล่งรัศมีเพื่อแสดงถึงความจำนงต้องการจุติไปร่วมบารมี อาภัสราพรหมนามอันธิกาเอ่ยขึ้น "ข้าเคยเป็นบริวารท่านสุวรรณศรพรหมมาหลายร้อยชาติ เคยเป็นบริวารของท่านสัพเกศีพรหมอีกนับชาติไม่ถ้วน อีกทั้งเคยเป็นคู่ปรับกับนายโสริยะผู้นี้ อีกหลายชาติภพ จึงพร้อมใจ ตั้งจิตขออาสาตามท่านลงไป" อาภัสราพรหมนามวิภาดาเอ่ยตาม "ข้าก็เคยเป็นทั้งบริวารท่านสุวรรณศรพรหม เป็นบริวารท่านอันธิกาพรหม และ เป็นบริวารท่านสัพเกศีพรหม ข้าจึงขอตามพวกท่านลงไปเช่นกัน" อาภัสราพรหมนามโพธิกรเอ่ยตาม "ข้าซึ่งเป็นบริวารของบริวารของบริวาร หากจะเอ่ยให้ครบ ท่าทางจะบาน ข้าไม่อยู่รำวงที่นี่แน่ ๆ หากท่านอันธิกา และ ท่านวิภาดาไม่อยู่ ข้าก็ยินดีจะตามไปเป็นสหายร่วมกันบำเพ็ญในภพนี้ ในเมื่อบุคคลที่ข้าติดตามมาหลายร้อยชาติ ทั้งท่านสัพเกศีพรหม ท่านสุวรรณศรพรหม และ ท่านอันธิกาพรหม จุติลงไปสนุกสนานกันข้างล่าง คิดว่าถ้าขาดข้าสักคน พวกท่านคงเหงาน่าดู ข้าจึงขอจุติไปเที่ยวเล่น จะเป็นไร" สุวรรณศรพรหมส่งยิ้มที่มีรัศมีแห่งแสงจันทร์ให้กับโพธิกร "ขอบคุณในศรัทธาของท่าน ที่มีต่อเรา และ ท่านสัพเกศี ฯ หากแต่ การเที่ยวเล่นในภพมนุษย์สำหรับพวกเรานั้น เป็นไปเพื่อการสั่งสมบารมีให้ครบสามสิบทัศเพื่อพระโพธิญาณ จึงเต็มไปด้วยการเสียสละนานัปการ เราลงไปเพื่อให้ มิใช่ลงไปเพื่อรับ หากท่านจะแปลความหมายของคำว่าเที่ยวเล่นให้ตรง ก็คงต้องแปลเช่นนี้" โพธิกรพรหมยกมือขึ้นไหว้ "สาธุ ท่านพูดได้ดีแล้ว ทุกชาติที่ข้าได้เคยตามท่านอันธิกาไปเที่ยวเล่น ก็เห็นจะมีแต่การเหนื่อยทุกชาติมา ท่านอันธิกาเสียร้อย ข้าเสียห้าสิบ ตามไปตามมาหลายร้อยชาติ ก็ไม่เคยเห็นว่าชาติไหน ได้เกิดมารับสบาย ๆ สักชาติ ข้าอยากจะเสียให้น้อย แต่เมื่อท่านอันธิกาเป็นตัวอย่างในการเสียสละได้มากกว่า ข้าก็ต้องเสียมากตามไปด้วย จะมีใครบ้างไหม ที่ชอบการเที่ยวเล่นลักษณะนี้เหมือนพวกเรา ?" สุวรรณศรพรหมพยักหน้าเข้าใจ "มีอีกนับไม่ถ้วน เหล่าดวงจิตที่แสวงหาพระโพธิญานอีกจำนวนนับไม่ถ้วน ล้วนแต่เที่ยวเล่นในวัฏสงสารเพื่อบำเพ็ญบารมี ปรารถนาจะตรัสรู้ในภพหนึ่งข้างหน้า เพราะมีตัวอย่างเป็นประจักษ์ในแต่ละชาติว่า ไม่ว่าเขาจะบำเพ็ญหนักหนาสักประการใด แต่ก็ยังมีคนบำเพ็ญที่ยิ่งกว่าให้เห็นเป็นที่ศรัทธาทุกชาติไป ดั่งเช่นกับที่พวกท่านทั้งหลายที่นี่ ที่ต่างศรัทธาในตัวของท่านอันธิกาเป็นยิ่งยวด เพราะไม่ว่าภพใดที่ท่านได้เกิดมาร่วมกับท่านอันธิกา ท่านก็ได้เห็นท่านอันธิกาเสียสละได้มากกว่าท่านทุกภพเรื่อยมา" เหล่าพรหมต่าง ๆ ล้วนน้อมรับคำกล่าวนี้อย่างไม่มีข้อสงสัย ครานั้น เมื่ออันธิกาพรหมตัดสินใจจุติ จึงตามมาด้วย วิภาดาพรหม, โพธิกรพรหม และ พรหมอื่น ๆ ที่เคยร่วมเป็นบริวารของอันธิกาพรหม จุติตามลงมาถือกำเนิดในดินแดนโยนก ครั้นเมื่อสัพเกศีพรหม ได้ถือกำเนิดเป็นพรหมกุมาร พร้อมด้วยสหชาติอีกสองร้อยห้าสิบท่าน สองปีหลังจากนั้น อันธิกาพรหม ก็ถือกำเนิดมาในราศีสิงห์ เป็นบุตรชายคนโตของครอบครัวชาวลั๊วะในเขตวังสีทอง บิดาจึงตั้งนามว่า 'สิงห์' ****************************************************************************************** เสียงร้องดังลั่นของหนุ่มสิงห์ผู้นั้น เมื่อยามถูกพรานทิวถอนธนูออก ยังดังก้องอยู่ในหัวของแม่หญิง แผลของธนูลงอาคมที่ปักอยู่ที่สะบักของเขา คงทำให้เขาเจ็บปวดเป็นอย่างมาก พรานทิว และ ลุงปันรวย ช่วยกันเยียวยาแผลให้กับสิงห์ จนเวลาล่วงเลยถึงบ่ายแก่ ๆ จึงตัดสินใจจะพักแรมในป่านี้หนึ่งคืน ถ้ำเล็ก ๆ ใต้ชะง่อนผา เป็นที่พักแรมอันเหมาะสม ลุงปันรวยนั่งหลับตาเข้าสมาธิอยู่หน้ากองฟืน ใกล้กับปากถ้ำ แม่หญิงนวลนั่งมองลุงปันรวยบริกรรมภาวนา สักพักชายชรายื่นมือข้างหนึ่งออกไปแตะขอนไม้ในกองฟืน ไม่นานนัก เริ่มมีควันลอยขึ้นจากขอนไม้ แม่หญิงผุดลุกขึ้นด้วยความประหลาดใจ ไฟลุกติดขอนไม้นั้นแล้ว ลุงปันรวยลืมตาขึ้น แล้วแกะผ้าคาดเอวออก เพื่อพัดโหมไฟ
|
|||||||