ตอน 6

อภิญญาเก่า

อภิญญา

สาวน้อยยืนที่ข้างเตียง …

…. มองดูเท้าที่บวมโตผิดปกติของคุณลุง

เธอสำรวจดูร่างกายของคุณลุงที่เธอคุ้นเคย ร่างกายที่ซูบผอมลงอย่างมาก ใบหน้าที่มีสีคล้ำ บริเวณขอบตาเป็นสีดำโหล  มีเครื่องให้ออกซิเจนครอบอยู่ เสียงหายใจเข้าออกดังฟืดฟาด  เสียงนี้ทรมานใจเธอเป็นอย่างยิ่ง 

ภาพที่ปรากฏอยู่ข้างหน้า เหมือนกับว่านี่ไม่ใช่คุณลุงคนเดิมของเธอ

ความคาดหวังที่เธอตั้งไว้กับวิชาลูกดิ่ง กลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอคาดไว้สักนิดเดียว 

เพียงวันต่อมาหลังจากที่กลับมาจากการเรียนวิชาลูกดิ่งเพนดูลั่ม  เธอกลับสื่อสารกับลูกดิ่งไม่ได้   เพนดูลั่มไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับเธอเลย เสมือนกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  ทั้ง ๆ ที่ในห้องเรียน เธอเป็นนักเรียนที่โดดเด่นที่สุด  อายุน้อยที่สุด และ ได้รับคำชมจากอาจารย์ว่า นี่คือนักเพนดูลั่มระดับโลกในอนาคต 

ไม่ว่าเธอจะพยามสื่อสารอย่างไร ประจุพลัง นั่งสมาธิ  ผ่านไปสามสี่วัน ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ลูกดิ่งยังคงเมินเฉยกับเธอ ทำให้หัวเสีย  จนเธอตั้งใจกับตัวเองว่า เธอจะไม่หยิบเพนดูลั่มขึ้นมาใช้งานอีก

ที่โซฟารับแขก ชาตรี รุ้ง และ คุณแป้น…คุณป้าของแฟนนี่ กำลังนั่งคุยกันเพื่อหาทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการรักษา

เสียงโทรศัพท์มือถือของแฟนนี่ดังขึ้น
“แฟนนี่ค่ะ”
เสียงปลายทางเป็นเสียงของทอม “แฟนนี่ พี่ทอมกับพี่รุ่งอยู่ที่ล็อบบี้แล้วจ๊ะ”
“ค่ะ ค่ะ เดี๋ยวแฟนนี่ลงไปหานะคะ”
ชาตรีได้ยิน ลุกขึ้นจากโซฟา
“รุ้ง คุณนั่งคุยเป็นเพื่อนพี่แป้นก่อน เดี๋ยวผมลงไปกับแฟนนี่เอง”

***********************************************************************************

ล็อบบี้ชั้นล่างของโรงพยาบาล

ล็อบบี้โรงพยาบาล

.....ชาตรียังมีสีหน้ายิ้มแย้ม ชวนทอมกับรุ่งให้เดินไปนั่งที่ล็อบบี้

แฟนนี่เดินเกาะแขนทอม

ทั้งสี่นั่งบนโซฟารับแขก มีที่สำหรับสี่คนพอดี
“พี่รุ้งอยู่ข้างบนเหรอครับ ?” รุ่งถามขึ้น


“ใช่ พี่รุ้งคุยกับพี่สะใภ้อยู่ครับ” ชาตรีนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับรุ่ง


แฟนนี่เลือกนั่งเก้าอี้ติดกับรุ่ง

“พี่รุ่ง แฟนนี่คิดถึง”

รุ่งหัวเราะหึ ๆ
“คิดถึงพี่ แต่ไปเดินควงพี่ทอม หมายความว่าไง ?”

แฟนนี่ยิ้มแล้วเอียงหัว

ชาตรีเริ่มเข้าเรื่อง
“คืองี้นะ รุ่งกับทอม ผมคงต้องรบกวน สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ผมต้องการข้อมูลบางอย่างเพื่อตัดสินใจ ก็เลยขอคำปรึกษา  แต่รุ่งกับทอม ขอให้สบายใจว่า แค่ให้ข้อมูลนะ สุดท้ายผมจะตัดสินใจ  อย่ากังวลว่าผมเรียกน้องสองคนมาให้รักษาคนป่วยนะ เดี๋ยวจะพลอยเครียดไปด้วย”

ทอมกับรุ่งพยักหน้าเข้าใจ ชาตรีเป็นนักบริหารที่วางแผนได้ดี  เขากำลังจัดลำดับทางเลือก แต่ขาดข้อมูลบางอย่าง

“ค่ะ ได้ค่ะ”  “ครับ พี่ชาตรีถามมาเลยได้ครับ”

“คือยังงี้ อาการของพี่ชายผม เริ่มจากเมื่อเดือนกว่า ๆ มาแล้ว เขานอนไม่หลับ คงเพราะเครียดกับงาน ก็งานการเมือง มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมือง เขาก็คงเครียด พี่สะใภ้ก็โทรมาเล่าให้ฟังบ้าง  ตอนแรก ๆ ก็กว่าจะหลับได้ก็ตีสองตีสาม  ต่อมาน้ำหนักเริ่มลดลง ทานอาหารได้น้อย  แต่ที่หนักกว่านั้นคือนอนไม่ได้เลย คือ อยู่ยันสว่างติดกันสองสามคืน แล้วมาหลับเพราะเพลียมาก แต่หลับได้สักพัก ตื่นมาแล้วก็นอนไม่ได้อีก  ตอนนั้นมาให้หมอตรวจ ก็พบว่าตับเริ่มเสื่อม หมอก็ให้ยามา แล้วก็ให้ทานน้ำหวานเพื่อทดแทนพลังงาน   ตรวจปัสสาวะ ก็พบว่ามีไข่ขาวปน  หมอก็จึงให้โด๊ปไข่ขาวเพิ่มเพื่อรักษาระดับโปรตีน  พี่สะใภ้ก็ทำตามทุกอย่าง  อาการยิ่งหนักลง คือ ขอบตาดำ แล้วเท้าโต ที่มาเข้าโรงพยาบาลนี่เพราะมีอาการคล้ายโรคหัวใจ คือ ความดันต่ำ หายใจไม่ออก มีไข้ขึ้นสูงด้วย  ก็เลยมาแอ๊ดมิดเมื่อคืน”

รุ่งขมวดคิ้ว ฟังอาการแล้วเข้าขั้นหนัก เขาถอนหายใจ

ทอมมองหน้ารุ่งแล้วเลิกคิ้ว เหมือนกับจะถามว่า เราสองคนจะช่วยไหวหรือ ?

ชาตรีเล่าต่อ
“พี่สะใภ้ผมเขาตัดสินใจไม่ถูก ลูกชายกับลูกสาว ทั้งสองคนก็ยังอยู่เมืองนอก เธอสนิทกับพี่รุ้ง พอเธอเห็นอาการพี่ชายผมแย่ลง ใจก็เสีย  โทรมาปรึกษาพี่รุ้ง  อีกฝ่ายหนึ่งก็คือผู้ใหญ่ทางพรรค เขาก็จะช่วยโดยฝากให้หมอที่รู้จักที่บำรุงราษฎร์  ก็คือทางพรรคอยากจะให้เปลี่ยนโรงพยาบาลไปเป็นบำรุงราษฎร์”

ทอมกับรุ่ง พยักหน้า
“อือ บำรุงราษฎร์ก็ดีนะครับ” รุ่งเห็นด้วย

ชาตรีสั่นหัว
“ผมไม่คิดยังงั้นนะ ผมไม่ได้คิดว่าโรงพยาบาลไหนดีหรือไม่ดี แต่ผมแค่คิดว่าวิธีการรักษาไหนต่างหากที่เหมาะสม  รุ่งเข้าใจมั้ยว่า ถ้าหากหมอแผนปัจจุบันเหมาะสมแล้ว รักษาโรงพยาบาลไหนก็เหมือนกัน  แต่ถ้าหากรักษาแผนปัจจุบันผิดทาง รักษาที่ไหนก็ค่าเท่า”

ทั้งสองคนพยักหน้า

“ผมก็ลองใช้ลูกดิ่งถาม ตามความสามารถที่มือใหม่จะพอถามได้  ผมก็เอารูปพี่ชายมาดิ่ง แล้วตั้งคำถามว่า ที่รักษาอยู่ปัจจุบันนี้ ถูกทางหรือไม่ ลูกดิ่งก็นิ่ง  ถามใหม่ว่า ควรเปลี่ยนแนวทางการรักษาใช่หรือไม่ ลูกดิ่งก็หมุน  ถามกี่ครั้งก็ให้คำตอบเหมือนกัน  ผมตั้งคำถามแค่นี้นะ  คือ ถามวิธีรักษาลึกไปกว่านี้เนี่ยคงไม่เป็น เพราะยังไม่ได้เรียน คือผมบอกได้เลยนะว่า ผมลังเล ตอนแรก ๆ ที่รู้ว่าพี่ชายผมอยู่ในมือหมอแล้ว ผมก็สบายใจ แต่ทำไมอาการทรุดลง ผมเริ่มคิดว่าเรามากันถูกทางหรือเปล่า แล้วพอมาถามลูกดิ่ง ก็ได้ผลแบบนี้  แต่ข้อมูลยังไม่ครบ คือ ไม่รักษาที่โรงพยาบาลน่ะ ก็ได้ แต่ถ้าเรายังไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร จะรักษาด้วยวิธีไหน ? ไปรักษากับใคร ? แต่ถามว่าผมเชื่อมั่นในโรงพยาบาลอื่น ๆ ขนาดไหน ผมบอกเลยว่าสำหรับเคสนี้ ผมก็ไม่เชื่อ เพราะโรงพยาบาลนี้ หมอที่นี่เก่งมาก เขาเจอเคสนี้แล้วเขาก็เอาไม่อยู่ พี่ชายผมไม่ได้ดื่มเหล้า ถ้าแค่เครียดแค่นี้ ทำให้เป็นถึงขนาดนี้มันก็เกินไป ถ้าหมอที่นี่ยังวินิจฉัยผิด เวลาส่งเคสไปโรงพยาบาลอื่น มันก็ต้องเข้าวิธีเดียวกัน คือตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ อุจจาระใหม่ คือ ถ้าหาเหตุได้ด้วยผลเลือดนะ หมอที่นี่หาเจอไปแล้ว แล็บของที่นี่ถือว่าระดับสุดยอดอยู่แล้ว”

รุ่งพยักหน้าเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด
“เข้าใจครับ เพียงแต่ว่า ถ้าพี่ชาตรีรู้ว่าพี่ชายเป็นโรคอะไร แล้วรักษาด้วยวิธีไหน นี่ก็เป็นทางเลือกอีกทางได้ แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าเป็นอะไรแน่ รู้แค่ว่ารักษาโรงพยาบาลไม่ได้ผล ยังงี้ไม่มีทางเลือกเลย”

“ใช่ครับ พี่สะใภ้ผมต้องตัดสินใจ ทางพรรคเขาจะฝากให้หมอที่บำรุงราษฎร์ ก็คงจะทำเรื่องส่งเคส ย้ายเลยคืนนี้  สิ่งที่ผมต้องการให้น้องสองคนช่วยคือ ช่วยประเมินพี่ชายผมให้ว่าเป็นโรคอะไร มีสาเหตุจากอะไร  ถ้ารู้ต้นเหตุ รู้วิธีรักษา ผมจะตัดสินใจของผมเอง ถ้าไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร เอาแค่เท่าที่ประเมินได้  อย่างน้อยผมก็สบายใจ…”

ชาตรีหยุด ถอนหายใจ แต่ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม
“ตอนที่ผมอยู่ในห้องเรียน ผมรู้สึกว่าผมศรัทธาอาจารย์มาก ซึ่งปกติผมจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่ท่านนี่ถือว่าเป็นสุดยอดของครูจริง ๆ  ตอนที่ผมเดินออกไปให้ท่านตรวจ ท่านเอาลูกดิ่งจ่อมืออึดใจเดียว ท่านบอกเลยว่า คุณฉี่บ่อย มาจากเบาหวาน ให้ทานอบเชย แล้วผมมีสะเก็ดเลือดที่สมองส่วนหลัง ทำให้แขนขาไม่มีแรง  เรื่องขานี่ ผมไม่เคยบอกใครเลย ผมชาปลายขามาเป็นปีแล้ว เคยเอ็กซเรย์แต่ไม่เจออะไรผิดปกติ   ท่านอาจารย์ตรวจได้แม่นมาก ๆ  ถ้าเคสพี่ชายผมนี่ ได้อยู่ในมือท่านอาจารย์ก็คงดี”

“คงไม่ทันหรอกค่ะ” ทอมตอบ “อาจารย์ไปวิปัสสนาที่ชลบุรี กว่าจะกลับคงอีกสองวัน ตอนนี้ติดต่อไม่ได้”

ชาตรีพยักหน้า เอื้อมมือมาตบเข่ารุ่ง
“ไม่เป็นไร ศิษย์เอกสองคนอยู่นี่แล้วนี่” แล้วหันมายิ้มให้กับทอม

รุ่งทำหน้าเหรอ “เอ๋า…” เขามองหน้าแฟนนี่ 

หนูน้อยยิ้มฝากความหวังให้

ชาตรีหันมาหาทอม
“ทอม สบายใจนะ แค่ประเมินเหมือนกับประเมินคนป่วยทั่วไป รู้อะไรก็บอกแค่เท่าที่รู้  ที่เหลือผมตัดสินใจเอง”

ทอมกับรุ่งมองหน้ากัน

“รุ่ง เราก็แค่ไปดิ่งที่มือ ถ้าไม่รู้อะไรก็ค่อยโทรถามคนอื่น ก็ไม่น่าจะยากนะ”
รุ่งพยักหน้า “ได้ ได้”

แฟนนี่ยิ้มระรื่น เอื้อมมือไปจับแขนรุ่งเขย่า “นี่ไง  ฮีโร่ของแฟนนี่มาช่วยจนได้”

ชาตรีพยักหน้า “ไป งั้นเราขึ้นไปที่ห้อง”  เขาลุกขึ้น

ทั้งสี่คนเดินจากล็อบบี้มาที่ลิฟท์   รุ่งเดินเข้ามากระซิบข้างหูทอม

“เลขาธิการพรรคเชียวนะเว้ย จะมาม่องเพราะมือเราซะแล้ว”

ทอมใช้ศอกกระทุ้งซี่โครงเพื่อนปากหมา
“อุ๊บ ! ” เขาก้มตัวงอ มือคลำซี่โครง “อีนี่ ศอกแหลมชิบ”

ทอมสังเกตเห็นความสุขุมของชาตรี เขาเดินช้า ๆ พร้อมทั้งรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ในสถานการณ์ที่คับขันแบบนี้ น้อยคนนักที่จะควบคุมสติได้มั่นคงเช่นนี้

***********************************************************************************

ล็อบบี้ชั้น 18…. เต็มไปด้วยคนมากมาย  

บางคนถือช่อดอกไม้ บางคนถือกระเช้าผลไม้  มีคนใส่สูทห้าหกคน ตั้งวงคุยกันเป็นกลุ่ม ๆ

รุ้งกำลังคุยกับนักการเมืองหนุ่มคนหนึ่ง  เธอเห็นชาตรี แฟนนี่ กำลังเดินนำนักเพนดูลั่มทั้งสอง เธอจึงขอตัวเดินจากออกมา

“ชาตรี” เธอโบกมือให้สามี

รุ่งกับทอมยกมือไหว้
“หวัดดีค่ะ พี่รุ้ง”
“หวัดดีครับ พี่รุ้ง”

รุ้งยกมือรับไหว้พร้อมรอยยิ้ม

“ชาตรี คนที่พรรคมากันเยอะแยะเลย  ท่านหัวหน้าพรรคอยู่ในห้องน่ะ กับเสธ. แล้วก็นายพลอู๊ด”

สามีมองไปรอบ ๆ ล็อบบี้ “โอ… ทำไมมากันตอนนี้พอดี ? ”

ชาตรีเริ่มยกมือไหว้สมาชิกพรรคบางท่านที่เขารู้จัก

รุ้งเอื้อมมือไปจับแขนทอม
“ว่ายังไง ทอม ผอมลงหรือเปล่า”

รุ่งหัวเราะหึ ๆ “กินยังกะหมู ผอมยังไง  แต่พี่รุ้งน่ะ สวยขึ้นครับ”

รุ้งหัวเราะ “แหมปากหวานจัง หลอกสาว ๆ ไปกี่คนแล้วเนี่ย ? ”

เธอหันไปหาสามี
“ชาตรี  พวกเราน่าจะไปนั่งคุยกันที่ล็อบบี้ฟากโน้นก่อน”
ชาตรีเห็นด้วย “นั่นน่ะสิ ตอนนี้คงเข้าไปในห้องไม่ได้  ไป ไปนั่งฟากโน้นก่อน” เขาเดินนำออกไป

***********************************************************************************

ล็อบบี้อีกฟากหนึ่งช่างเงียบเหงา

“ชาตรี เราคงให้ทั้งสองคนเข้าไปลำบากแล้ว เพราะมีคนที่พรรคมาเฝ้าแล้วไม่ให้คนอี่นเข้าเยี่ยม ถ้าเข้าได้ก็แค่ญาติ ๆ คือ เราสามคน”

เขาพยักหน้าเข้าใจสถานการณ์
“งั้นคุณโทรหาพี่แป้นก่อน บอกว่าถ้าท่านหัวหน้าพรรคกลับไปแล้ว รีบโทรหาเรา”

“ได้ค่ะ” ภรรยาเดินเลี่ยงไปโทรศัพท์

ชาตรีขมวดคิ้ว “อือ.. ไม่น่าเลย ผมไม่ได้พกรูปพี่ผมมาด้วย  ไม่งั้นให้เราสองคนตรวจผ่านรูปก็ได้”

รุ่งถามขึ้น “แต่ถ้าเราเข้าไปไม่ได้เลย  ก็หมดสิทธิ์ตรวจ ต้องปล่อยให้ทางพรรคย้ายโรงพยาบาลเหรอครับ ? ”
ชาตรีถอนหายใจ เขาไม่ได้ตอบ แต่กำลังใช้ความคิด

“พี่ทอม อาการของคุณลุงเป็นแบบนี้ จะมีทางหายมั้ยคะ ?” แฟนนี่ถาม

ทอมยิ้มให้สาวน้อย
“ถ้ายังไม่ได้ถามลูกดิ่ง ก็อย่าเพิ่งคิดในทางร้ายนะ อาจารย์สอนเราว่ายังไง ? จิตเป็นนายใช่มั้ย ? ถ้าเราคิดบวกบ่อย ๆ แรงนี้ก็จะดึงดูดสิ่งที่ดี ๆ เข้ามาหา”

แฟนนี่พยักหน้า

ทอมถาม
“แฟนนี่สนิทกับคุณลุงมากเหรอ ?”

“ค่ะ สนิทมาก ไม่อยากให้อะไรเกิดกับคุณลุง คุณลุงเป็นคนดีมาก”
สีหน้าเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นเศร้า  “พี่ทอม เดี๋ยวแฟนนี่ไปห้องน้ำก่อนนะคะ”

ทอมมองตามสาวน้อย… ทำไมคนเราต้องป่วย ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกัน ?

รุ่งพยักหน้าชวนทอมปลีกตัวออกไปคุยกัน 

ทั้งสองเดินมาจนสุดโถงชั้น 18 มีเก้าอี้สี่ห้าตัวสำหรับคนนั่งรอ แต่ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น

ล็อบบี้ชั้น 18สองสหายนั่งลง
“ทอม แกว่าชั้นเป็นคนดื้อหรือเปล่า ?”

เธอมองหน้าเพื่อน “มาอารมณ์ไหนของแกวะ จู่ ๆ มาถาม ?”

“หมายถึงโดยรวม ๆ ชั้นเป็นคนที่หัวอ่อน เชื่อคนง่าย หรือ เป็นคนที่มีความคิดของตัวเอง ถ้าคิดอะไรแล้ว คนอื่นมาเปลี่ยนยาก ?”

อีกฝ่ายยิ้ม พยักหน้าทันที “ใช่เลย ไม่ต้องใช้เวลาคิดเลย แกเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองมาก เวลาแกคิดอะไร แกไม่พูด ใครมาพูดอะไรเป็นอื่น แกไม่เห็นด้วยแต่ไม่เถียง แต่แกก็ไม่ยอมทำ”

ทอมนึกถึงเหตุการณ์สมัยเรียน
“ชั้นยังจำได้ แสบที่สุดคือ ตอนที่ทุกคนโหวตกันไปชะอำหรือเชียงใหม่  คนโหวตกันแล้วว่าไปชะอำ สุดท้ายแกยังทำได้”

รุ่งหัวเราะกับเหตุการณ์นั้น  วันที่นัดเจอกันที่มหาวิทยาลัยเพื่อไปชะอำ เช้ามืดเขาไปหาวิทย์ที่บ้าน บอกวิทย์ว่าเขาจะเป็นคนขับไปชะอำให้  แล้วจากบ้านวิทย์ ก็ไปรับทอม
แต่จากบ้านทอม แทนที่จะมุ่งไปสายใต้ รุ่งกลับขับรถขึ้นเหนือ สุดท้ายปลายทางที่เชียงใหม่

“แล้วสนุกหรือเปล่าล่ะ ? ถ้าชั้นบอกว่าชั้นทำให้พวกแกสนุกได้ ชั้นก็ทำได้”

ทอมพยักหน้า
“สนุกมาก เมื่อไหร่เราจะได้ไปเที่ยวกันแบบนั้นอีกก็ไม่รู้ รู้เปล่าว่าไอ้พวกไปชะอำมันโกรธแกมาก ?   แกน่ะคิดอะไรอะไรแปลก ๆ ได้เยอะ แต่แกมันกวนตีนมากไปหน่อย แล้วถ้าแกยอมคนอื่นซะบ้างนะ ไม่น่าจะเสียหายอะไร”

“แล้วแกตามชั้นไปทำไม เชียงใหม่น่ะ ?”

“อ้าว ก็เสือกขับรถมารับ แล้วโกหกกัน จะให้ชั้นทำไง ?”

“แสดงว่า ถ้าชั้นบอกตรง ๆ ว่า ชั้นจะไปเชียงใหม่ ให้แกเลือกเลย แกจะไปชะอำหรือเชียงใหม่ ?”

“ชะอำ” เธอตอบทันที “ก็นัดกันแล้วโว้ย นัดแล้วต้องไปตามนัด”

“แกไปชะอำแล้วแกจะสนุกเหรอ ? พวกนั้นไปเที่ยวอะไรกัน แกก็รู้ ไปถึงก็นั่งเล่นไพ่ กินเหล้า เปิดทีวีดู”

“อีรุ่งเอ๊ย.. แกไม่เข้าใจคำว่านัดเหรอ ? นัดแล้วไม่ไปตามนัดเนี่ย มันคือผิดสัญญา แกมันต้องยอมตามกฎระเบียบบ้าง ไม่งั้นแกจะอยู่ในสังคมยังไง ?”

“ก็เรามันไม่ชอบตรงกัน  บางเรื่องยอมได้ก็ยอม บางเรื่องไม่ไหวก็ไม่ยอม ถ้าเราจะยอมตามใคร คนนั้นก็ต้องมีอะไรพิเศษสำหรับเรา มันต้องแบบว่า… เจอแล้วใช่เลย ปราบเราได้เลย เรายอม ไปไหนไปกัน”

อีกฝ่ายหัวเราะหึ ๆ “ใครจะไปปราบแกได้ ? ”

“ชั้นเจอแล้ว”

ทอมเลิกคิ้ว “เจอใคร ? ”

“คนที่เกิดมา ไม่เคยคิดว่าจะเจอ คนที่ทำให้ชั้นยอมได้ทุกอย่าง ทำให้ชั้นมั่นใจในตัวเค้า มากกว่ามั่นใจในตัวเอง  ให้ชั้นทิ้งความเป็นตัวของตัวเองได้ เพื่อเค้า เพราะเค้าทำให้ชั้นศรัทธา”

ทอมขำ “เฮอะ ๆ  แกไปรักใครเข้าเหรอวะ ?”

รุ่งพยักหน้า “ยิ่งกว่ารักอีกว่ะ ทั้งชีวิตทั้งวิญญาณ ชั้นคงให้ได้หมด”

“ใครวะ ? ”

“ก็คนที่ปราบชั้นได้ไง”

“ตายโหง มีใครคนนั้นด้วยเหรอ ? อยากเห็นหน้าจริง ๆ ใครวะปราบแกได้ ? แกมันโคตรดื้อ คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าชาวบ้าน”

“ของยังงี้มันของเก่า  แกจำอาจารย์วิชณีย์ได้มั้ย ? อาจารย์คนอื่นสอนวิชาอะไร ชั้นไม่เคยศรัทธา แต่อาจารย์วิชณีย์สอนภาษาอังกฤษแค่พีเรียดแรก ชั้นหลงไปเลย”

“อือ จำได้ แกบ้าไปเลยนิ”

“ของเก่าที่ในอดีตเคยผูกพันกัน เราอยู่ชาตินี้ เราไม่รู้หรอกว่า เบื้องหลังในอดีตชาติที่ระลึกไม่ได้ มีใครเคยผูกพันกับเรา  เพียงแค่ชาตินี้ คนที่ผูกพันเรามาอยู่ใกล้ ๆ ตัว เพียงแค่ได้ยินชื่อก็มีศรัทธาแล้ว  แกเคยได้ยินมั้ย เพียงได้ยินชื่อก็หลงรักแล้ว ? ”

“เว่อ เพ้อฝันมากไป”

“เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ยินชื่อ พระนางพิมพายโสธรา แค่นี้เอง ก็รักหมดหัวใจ”

ทอมหันหน้ามามอง
“ถามจริง ?”

“แกคิดว่าชั้นเอาเรื่องพระพุทธเจ้ามาล้อเล่นเหรอ ?”

“ชั้นว่า แกสามารถเอาทุกเรื่องในโลกมาล้อเล่นได้หมด แกคิดอะไร ไม่มีใครตามแกทันหรอก”

“ชาติก่อนหน้านั้น พระนางพิมพาเป็นภรรยาของพระเวสสันดร ซึ่งพระเวสสันดรชาติถัดมาก็คือเจ้าชายสิทธัตถะ พระนางพิมพาเกิดเป็นเนื้อคู่พระพุทธเจ้ามาเป็นร้อยเป็นพันชาติแล้ว ชาติสุดท้าย แค่ได้ยินชื่อถึงรักกันได้”

คราวนี้ทอมเริ่มรู้แล้วว่าเพื่อนพูดจริง

“อ่ะเหรอ…?”

“เราเห็นปลายเหตุ เราไม่รู้ต้นเหตุ เลยไม่เข้าใจ ถ้ารู้ต้นเหตุ เราจะเข้าใจ ในอดีตย้อนหลังไปหลายแสนชาติ  พระนางพิมพาเคยเป็นพี่สะใภ้ของพระพุทธเจ้า ในชาตินั้นพระพุทธเจ้ายังเป็นคนธรรมดานะ ก็มีเรื่องราวทะเลาะกับพี่สะใภ้ ถูกพี่สะใภ้ต่อว่า ท่านก็แค้นในใจ ตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดชาติไหนก็ตาม กูจะขอเป็นผัวมึงตลอดไป”

ทอมหัวเราะ “ถามจริง นี่แกแต่งเองหรือเปล่า ?”

เจ้าชายสิทธัตถะ และ พระนางพิมพายโสธรา“หลังจากตายจากกันในชาตินั้น คำอธิษฐานของท่านแรงมาก ชาติต่อ ๆ มา ก็มีเหตุให้ต้องมาเจอกันอีกเรื่อย ๆ  จนชาติที่ท่านได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าสมัยนั้นว่า ท่านจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต สมัยนั้นพระนางพิมพาก็เกิดมาเป็นหญิง อยู่ในที่แห่งนั้นด้วย ได้ยินคำพยากรณ์นี้  นางก็อธิษฐานว่า ถ้าอย่างนั้น ฉันขออธิษฐานเกิดมาเป็นคู่บุญบารมีกับผู้ชายคนนี้ จนกว่าเขาจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า”

ทอมหมดคำถาม เธอรู้แน่แล้วว่า รุ่งไม่ได้แต่งขึ้นมาเอง

“ทอม แกพอเข้าใจขึ้นบ้างแล้วใช่มั้ย ? ว่าสาเหตุที่คนคนหนึ่ง ถูกใจ ยอมทำตามคนอื่น ยอมให้เขาปราบจนอยู่หมัด เบื้องหลังมันต้องมีการผูกพันกันมาเป็นร้อย ๆ ชาติมาก่อน ถึงทำให้คนคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในโลก เมื่อเจอคนที่เคยมีบุญร่วมกัน เขาก็จะคลายความพยศ กลายเป็นม้าเชื่อง ๆ ตัวนึงแค่นั้น”

เธอเริ่มพยักหน้าช้า ๆ

รุ่งพูดต่อ
“เหมือนกับแกวันนั้นไง พอรถเริ่มวิ่งไปทางรังสิต แกรู้แล้วว่าชั้นไม่ได้ขับไปชะอำแน่ แกก็ไม่โกรธชั้น ไอ้วิทย์ก็ไม่โกรธ ไม่มีใครโกรธชั้นเลย แต่ถ้าสลับกัน คนที่ไปรับแกไม่ใช่ชั้น เป็นคนอื่น แล้วเขาไม่ได้ขับไปชะอำ แกจะทำไง ? ”

ทอมหัวเราะ เขาช่างเปรียบเทียบซับซ้อนจริง ๆ ดึงไปเรื่องโน้น กลับมาเรื่องนี้

“ก็คงลงจากรถ เลิกคบเลย… แกจะบอกชั้นว่าชั้นกับแกเคยผูกพันกันมาก่อนเหรอ ? ”

“จะบอกว่าคนเราที่จะเกิดมาชอบกัน เชื่อกันง่าย ๆ น่ะ มันต้องมีการผูกพันกันมาก่อน ถ้าไม่เคยผูกพัน พูดยังไง ชักชวนยังไงเราก็ไม่เชื่อ ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าถึงส่งพระโมคคัลลาน์ไปเทศน์คนคนนั้น ท่านไม่เทศน์เอง”

ทอมเพิ่งถึงบางอ้อ  เรื่องที่เพื่อนท้าวความมาทั้งหมด เพื่อที่จะอธิบายคำถามที่เธอทิ้งไว้เมื่อตอนบ่าย


เธอมองหน้าเพื่อนผู้แสนรู้อีกครั้ง แล้วก็หัวเราะเบา ๆ
“แกนี่มัน….”
“มันอะไร ?”
ทอมมองหน้า “แกนี่มันอัจฉริยะ…”
รุ่งหัวเราะหึ ๆ
“…ผสมวิกลจริต” เธอพูดต่อ “ชั้นไม่เคยมีเพื่อนแบบแกเลย แกเป็นคนที่แปลกมาก ๆ”

รุ่งจับข้อมือทอมมาดูนาฬิกา เจ้าของนาฬิกาสั่นหัว
“เมื่อไหร่แกจะใส่นาฬิกาซะบ้างวะ ?"
“เดินกลับไปทางโน้นเหอะ ชั้นคิดอะไรออกบางอย่างแล้ว” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นพรวดเดินออกไปโดยไม่รอ

ทอมค่อย ๆ ออกเดินตามไปช้า ๆ  ความคิดเธอยังจดจ่ออยู่กับคำอธิบายของเขา  เธอเข้าใจคำสอนของพระสงฆ์ท่านนั้นมากขึ้น คนเราคงต้องผูกพันกันมานาน จึงจะนึกศรัทธากันง่าย ๆ ในชาตินี้
โรงพยาบาล

เธอเดินผ่านเคาน์เตอร์พยาบาล ปล่อยความคิดไปแล่นไป แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับกองหนังสือบนโต๊ะเล็ก ๆ  

...ภาพหน้าปกเป็นรูปพระสงฆ์องค์นั้น…

ความรู้สึกฉงน ประหลาดใจ เกิดขึ้นกับเธอในทันที  เธอเดินตรงเข้าไปหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาจากกอง  มันถูกวางอยู่บนกองหนังสือนิตยสารต่าง ๆ

เธอดูหน้าปกให้แน่ใจ … ใช่ …  เป็นพระสงฆ์รูปนั้นจริง ๆ

ชื่อหนังสือว่า 'ธรรมะจากปากหลวงพ่อ'
คราวนี้เธอหัวเราะกับตัวเอง 

“ท่านตามหนูมาเหรอคะ ?”

เธอรู้สึกขำเล็กน้อยกับความคิด 
หนังสือเล่มนี้…หนังสือธรรมะโดด ๆ กองอยู่บนนิตยสารหลาย ๆ เล่ม…

ทอมนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ  แล้วพลิกหนังสืออ่าน

***********************************************************************************

รุ่งเดินตรงมาหาพ่อแม่ลูกทั้งสาม

“พี่ชาตรี ผมเสนอยังงี้ครับ”
“ว่าไงรุ่ง ? ”
“ผมกับทอมไม่ต้องเข้าไปก็ได้  แต่แฟนนี่เข้าไปได้ใช่มั้ยครับ ?”

ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน
“ดีแล้ว แฟนนี่ เราทำได้มั้ย ?” รุ่งมองหน้าเธอ
จำเลยทำหน้าเหรอหรา “ให้แฟนนี่ทำอะไรคะ ?”
“แฟนนี่เข้าไปตรวจคุณลุง แฟนนี่ทำได้มั้ย ?” รุ่งพูดเอาจริงเอาจัง

ใบหน้าสาวน้อยเริ่มเครียด เหมือนกับรับภาระระดับชาติมาไว้ในอก

“ลูกดิ่งแฟนนี่ไม่ทำงานมาตั้งนานแล้ว”

รุ่งทำหน้าแปลกใจ “อ้าว เหรอ ? …  ไม่ได้ใช้ทุกวันเหรอ ?”

“หลังจากเรียนกลับมา ก็ไม่ได้ใช้มาสองสามวัน แล้วพอหยิบมาใช้อีกก็ใช้ไม่ได้ ลองพักแล้ว ประจุพลังก็แล้ว ลองติดต่อกันอีกหลายวัน ก็ใช้ไม่ได้เลยค่ะ  แต่คุณพ่อกลับใช้ได้”

“แบตหมดน่ะ ไม่เป็นไร แต่แฟนนี่พกลูกดิ่งมาด้วยใช่มั้ย”
เธอสั่นหัว “แฟนนี่เลิกใช้ลูกดิ่งแล้ว”
รุ่งผงะหัว “หา... ขนาดนั้นเลยเหรอ ? ”

“อือ เพนดูลั่มคงโกรธแฟนนี่ แล้วแฟนนี่ก็โกรธเพนดูลั่มด้วย  ผิดหวังมากด้วย ทำไมจู่ ๆ ถึงไม่ยอมสื่อสารกับแฟนนี่”

รุ่งถอนหายใจ เขารู้ทันทีว่านี่เป็นสภาวะงอนง้อกันระหว่างผู้ใช้กับเพนดูลั่ม ถ้าผ่านช่วงนี้ไม่ได้ แฟนนี่ก็คงใช้ลูกดิ่งต่อไปไม่ได้
เขาพึมพำกับตัวเอง “เอาล่ะสิ แล้วจะทำไงดี”

รุ่งเริ่มเดินทีละก้าวช้า ๆ เพื่อใช้ความคิด

***********************************************************************************

ห้าโมงครึ่ง….

ยังไม่มีสัญญานจากห้องคนไข้ว่า บรรดาแขกผู้มีเกียรติที่มาเยี่ยมไข้ จะกลับกันเมื่อไหร่

เสียงฝีเท้าของทอมเดินมา เธอถือหนังสือธรรมะเล่มนั้นติดมาด้วย

“รุ่ง ชั้นรู้แล้ว เราให้แฟนนี่เข้าไปดิ่งแทนเราได้นี่”

อีกฝ่ายหัวเราะ “อือ... แกคิดเหมือนชั้นเลยว่ะ แต่ลูกดิ่งของแฟนนี่ไม่ทำงาน”
“อ้าว”
คำตอบนี้เล่นเอาทอมเหวอไปเหมือนกัน

เธอสะกิดแขนรุ่งให้หันกลับไปมองแฟนนี่ 

สาวน้อยยืนคอตก… เธอรู้สึกเจ็บใจตัวเอง ความสามารถที่คนอื่นเคยชื่นชม ตอนนี้เธอมันก็แค่คนธรรมดา

รุ้งเดินเข้ามาหาทั้งสองคน
“พอแฟนนี่สื่อสารกับเพนดูลั่มไม่ได้ ก็ดูเค้าเศร้า ๆ ไป เป็นอย่างนี้มาหลายวันแล้ว เหมือนกับหมดความมั่นใจในตัวเอง พี่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง เค้าเคยมีลูกดิ่งเป็นเพื่อนมานานพอสมควร จู่ ๆ ก็ขาดการติดต่อไปแบบนี้ ก็คงเหมือนกับเสียเพื่อนไป”

รุ้งไม่เคยสอนให้ลูกสาวเป็นคนออเซาะ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ห่วงลูกสาวคนเดียวที่มี

ทอมสูดหายใจช้า ๆ ยาว ๆ เธอล้วงกระเป๋ากางเกงด้านหลัง หยิบกระดาษสัญลักษณ์แพนดิต้าออกมา แล้วเดินเข้าไปหาแฟนนี่

แผ่นเรียกพลังแพนดิต้า

สัญญลักษณ์แพนดิต้า (Pandita)

“แฟนนี่ ตอนที่แฟนนี่ยังใช้เพนดูลั่มได้ แฟนนี่มั่นใจมั้ยว่าเราเก่งกว่าเด็กผู้หญิงธรรมดา ๆ คนอื่น ?”
เธอพยักหน้า “ค่ะ มั่นใจมาก”
“ความมั่นใจนั้น แฟนนี่ยังจำได้มั้ย ?”
“ค่ะ ยังจำได้”
“ดี งั้นแฟนนี่นั่งลง”

ทอมทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นห้องโถง  สาวน้อยนั่งลงตาม

“นั่งตามสบายนะ เออ.. ขัดสมาธิอย่างนั้นก็ได้ แล้วสูดหายใจลึก ๆ นะ แล้วถือแผ่นกระดาษนี่ไว้ จับอย่างนี้นะ…ดี แล้วค่อย ๆ หลับตา”
สาวน้อยทำตาม
“สวดนะโมตัสสะ สามจบ นะ” ทอมพูด พร้อมกับเปิดหนังสือธรรมะที่เธอหยิบติดมือมา เธอพลิกไปถึงหน้าที่ต้องการ
“แฟนนี่ พูดตามนี้  อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะฉามิ ข้าพเจ้า ขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

รุ่งรู้ทันทีว่าทอมกำลังจะทำอะไร เพียงแต่เขาแปลกใจมากว่า ทอมรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร

เขาค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ทอม

ชาตรีกับรุ้งยืนฟังอยู่ห่าง ๆ

ทอมอ่านข้อความในหนังสือเล่มนั้น

“ข้าพเจ้า ขออาราธนาบารมี สมเด็จพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และ พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่ภาวะพระกรรมฐานทั้งสี่สิบทัศ พระปิติทั้งห้า และ วิปัสสนาญานทั้งเก้า ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่ภาวะแห่งเมฆจิต สามารถกำหนดจิต รู้ภาวะการณ์ต่าง ๆ ทั้งเหตุ และ ผล อดีต อนาคต และ ปัจจุบันได้ทุกขณะจิตที่ประสงค์จะรู้ เมื่อรู้แล้วขอให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนแจ่มใส และ พยากรณ์ได้ตามความเป็นจริงทุกประการ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด”

สาวน้อยพูดตามทุกคำพูดอย่างชัดเจน
“หายใจเข้าท้องป่อง ภาวนานะมะ หายใจออกท้องแฟ่บ ภาวนาพะธะ… ค่อย ๆ ช้า ๆ นะ  คราวนี้ให้รวมความรู้สึกทั้งหมด ไปอยู่ที่การฟัง อากาศจะหนาว จะร้อน อย่าสนใจ จะได้กลิ่นอะไร อย่าสนใจ เสียงที่แฟนนี่จะได้ยิน จะมีแต่เสียงพี่ทอมเท่านั้น”

ทอมเริ่มให้เสียงต่อ
“ด้วยเสียงพี่ทอมนี้ จะเป็นสื่อให้กับคนที่แฟนนี่นับถือเคารพบูชา แฟนนี่นึกถึงเสียงของใครที่แฟนนี่อยากได้ยิน ขอให้นึกทันที  ภาพใดปรากฏในจิตเป็นภาพแรก ขอให้พูดออกมา”

ในความมืดสนิท สงบในสมาธิ จิตของเธอนึกถึงฤาษี

“ฤาษีค่ะ” เธอพูดออกมา
“ดีค่ะ ฤาษีท่านนี้ มีชื่อหรือไม่ ?”

แฟนนี่ ขมวดคิ้ว

ทอมสังเกตุอยู่
“ค่อย ๆ นึกนะ ฤาษีท่านนี้ มีชื่ออะไร นึกชื่อไหนได้เป็นชื่อแรก ขอให้พูดออกมา”

สาวน้อยยังขมวดคิ้วอยู่ ลมหายใจแผ่ว ๆ เบาลง

“ชื่อท่านปู่ชีวกค่ะ”

ท่านฤาษีชีวกโก มารภัจจ์“ดี ดี เห็นหน้าของท่านมั้ย ?”
“ไม่ชัดค่ะ”
“ลองดูใหม่อีกที เห็นหน้าท่านมั้ย ?”
“ค่ะ เห็น ท่านยิ้มให้”
“ดีค่ะ ขอให้ท่านลูบหัวแฟนนี่”
แฟนนี่ยิ้มทั้งหลับตา

“ค่ะ ท่าน ท่าน…” น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากลูกตาของเธอ

รุ้งสะกิดชาตรีให้ดู  ชาตรีพยักหน้ารับรู้ว่ากำลังดูอยู่

“มีอะไรเกิดขึ้นเหรอคะ ? แฟนนี่” ทอมถามเบา ๆ
“ท่านปู่… ลูบหัวแฟนนี่” เธอเริ่มสะอึก น้ำตาเริ่มไหลลงมาเป็นหยด
“เอาล่ะ แฟนนี่ถามท่านว่า แฟนนี่ยังสามารถใช้ลูกดิ่งได้มั้ย ?”

เพียงชั่วอึดใจ เธอพยักหน้า

“ได้ค่ะ… ท่านปู่บอกว่า แฟนนี่จะเป็นนักเพนดูลั่มที่เก่งที่สุด” เธอพูดกึ่งร้องไห้ เสียงสะอึกติด ๆ ขัด ๆ

“ดีมาก ถามท่านปู่ว่า แฟนนี่จะช่วยคุณลุงได้มั้ย ?”

เธอพยักหน้า แล้วเงียบไป เสียงสะอึกก็หายไปด้วย
“แฟนนี่” ทอมเรียกเบา ๆ
“ท่านปู่กำลังพูดกับแฟนนี่ค่ะ”

สาวน้อยยังหลับตา เงียบ

ทอมทิ้งเวลาให้สักพัก แล้วเริ่มเรียกแฟนนี่กลับมา
“เอาล่ะ แฟนนี่ ท่านปู่พูดจบหรือยัง ?”

เธอพยักหน้า

“งั้นลาท่านปู่ซะ นึกถึงภาพตัวเองกราบที่เท้าท่านนะ ตอนนี้แฟนนี่เริ่มกลับมาอยู่กับพี่ทอมนะ เรายังอยู่ที่โรงพยาบาล จำได้มั้ย  พี่ทอมจะนับหนึ่งถึงสิบ ถ้าถึงสิบแล้ว แฟนนี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นนะ”

ทอมเริ่มนับ

รุ่งนั่งมองอยู่ตลอด เขาไม่พูดเลยสักคำ ความประหลาดใจต่าง ๆ นา ๆ เกิดขึ้นในใจเขาอย่างล้นพ้น 

ทอมไปได้วิชานี้มาจากไหน ? 

สาวน้อยลืมตาขึ้น พร้อมกับเสียงนับสิบของทอม เธอยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา

ทอมลูบหลังเธอเบา ๆ “เป็นไง ?”

แฟนนี่ยิ้ม สีหน้าบอกถึงพลังแห่งความปิติอย่างท่วมท้น
“ยังไม่ต้องเล่าอะไรตอนนี้นะ” ทอมลุกขึ้นยืน แล้วหยิบถุงลูกดิ่งในกระเป๋ากางเกงออกมา
“ความมั่นใจเต็มร้อยแล้วใช่มั้ย ?” เธอมองหน้าแฟนนี่
แฟนนี่พยักหน้า “เกินร้อยด้วย”
ทอมยื่นลูกดิ่งให้ “ใช้ลูกดิ่งนี่ ลองดู”
แฟนนี่ยื่นแผ่นเรียกพลังแพนดิต้ากลับคืนให้ทอม

เธอใช้มือขวาจับลูกดิ่ง มือซ้ายประคอง แล้วเริ่มดิ่ง

ไม่กี่วินาที ลูกดิ่งเริ่มตอบสนอง  เธอกระตุกลูกดิ่งเพื่อเปลี่ยนคำถามเป็นระยะ ๆ

ภายในไม่กี่วินาทีนั้น เธอถามลูกดิ่งไปแล้วมากกว่าสิบคำถาม ลูกดิ่งให้คำตอบที่รวดเร็วเหมือนที่เธอเคยทำได้มาก่อน
แฟนนี่หันมาหาชาตรีกับรุ้ง พร้อมกับรอยยิ้ม

“แฟนนี่ใช้ลูกดิ่งได้แล้วค่ะ”

ชาตรีพยักหน้า ยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกา  รุ้งรีบโทรศัพท์หาพี่สะใภ้

***********************************************************************************

นาฬิกาในห้องคนไข้ บอกเวลาหกโมงตรง

แฟนนี่เลือกที่จะนั่งที่เก้าอี้ห้องรับแขก ซึ่งมองผ่านจากมุมนี้เข้าไป จะเห็นหน้าคุณลุงที่นอนอยู่บนเตียงพอดี

ในห้องคนไข้ มีสมาชิกพรรคคนสำคัญสี่ท่าน กำลังเยี่ยมไข้

เธอนั่งในห้องรับแขกคนเดียว จัดท่านั่งที่เหมาะสม แล้วเธอก็ใส่หูฟัง กดโทรศัพท์มือถือออกไป
เสียงปลายทางตอบมา “โอเค แฟนนี่พร้อมแล้วใช่มั้ย ?” รุ่งถามขึ้น
“พร้อมค่ะ” เธอพูดเบา ๆ
“แฟนนี่มองไปที่คุณลุงนะ แล้วใช้มือดิ่งลอย ไม่ต้องดิ่งบนฝ่ามือเรา คำถามแรก ถามว่าคุณลุงมีเจ้ากรรมนายเวรใช่หรือไม่ ?”

วินาทีที่รุ่งพูดจบ ลูกดิ่งในมือของแฟนนี่ทำงานทันที
“ใช่ค่ะ”
“อุทิศบุญของแฟนนี่ให้ได้หรือไม่ ?”
“ไม่ได้ ไม่พอค่ะ”
“อุทิศบุญของพี่รุ่ง กับพี่ทอม คุณพ่อ คุณแม่รวมกันได้หรือไม ? ่”
“ได้ค่ะ”

รุ่งหันไป ทั้งสามคนพยักหน้าเข้าใจ 
รุ่งเริ่มกล่าวบทอุทิศส่วนกุศลให้คนที่เหลือพูดตาม
พอจบแล้ว เริ่มถามต่อ

“มีเจ้ากรรมนายเวรอีกหรือไม่ ?”
“ไม่มีค่ะ”
“บุญของคนไข้มีพอจะรักษาหายหรือไม่ ?”
“พอค่ะ”
“มีพยาธิ หรือไม่ ?”
“ไม่มีค่ะ”
“มีเชื้อไวรัสหรือไม่ ?”
“ไม่มีค่ะ”
“เม็ดเลือดแดงต่ำกว่าห้าลิตรใช่หรือไม่ ?”
“ใช่ค่ะ ?”
“ถามไปเรื่อย ๆ ว่าเหลือกี่ลิตร ?”

เพียงห้าวินาที เธอจบคำถามไปอีกสามคำถาม

“เหลือสามลิตรค่ะ”
รุ่งพึมพำกับทอม “ไม่น่าจะใช่พยาธิจริง ๆ”

เขาพยามจะตัดคำถามที่ไม่จำเป็น เลือกแต่เฉพาะคำถามที่ใกล้เคียงอาการนี้มากที่สุด

“ตับทำงานกี่เปอร์เซนต์ ? เริ่มต้นที่เจ็ดสิบลงมา”
“ห้าสิบเปอร์เซนต์ค่ะ”
“ถามย้ำอีกครั้งว่า ไม่มีไวรัสที่ตับใช่หรือไม่”
“ไม่มีค่ะ”
“เกิดจากแอลกอฮอลล์ใช่หรือไม่ ? ”
“ไม่ใช่ค่ะ”
รุ่งจดทุกอย่างใส่กระดาษไว้หมด แล้วค่อย ๆ ตัดสาเหตุที่ไกลอาการออกไป
“ต่อมา ถุงน้ำดีนะ ถามว่าถุงน้ำดีข้นใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่ค่ะ”
“ถามเปอร์เซ็นต์ ไล่ทีละสิบนะ เริ่มตั้งแต่สิบ”
“เจ็ดสิบค่ะ”
รุ่งพยักหน้าพึมพำ “ระบบดูดซึมเสีย แต่ไม่มีพยาธิ”
เขาถามต่อ
“มีไขมันในลำไส้ ใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่ค่ะ”
“ไขมันในลำไส้มากขนาดไหน ? ให้กำหนดถามว่า เล็กน้อย ปานกลาง หรือ มาก”
“เล็กน้อยค่ะ”

รุ่งจด ทอมอ่านไปด้วย แล้วทั้งคู่หันมามองหน้ากัน

“รุ่ง ไขมันในลำไส้น้อย แต่ระบบดูดซึมเสีย ไม่มีพยาธิ ก็เหลือเรื่องเดียวแล้ว”

รุ่งพยักหน้าเข้าใจ
“แฟนนี่ ถามว่า มีเชื้อราใช่หรือไม่”
“ใช่ค่ะ”

รุ่งตบหัวเข่าตัวเอง ทอมพยักหน้าว่าเป็นไปได้ตามหลักตรรกะ

“ถามซ้ำนะแฟนนี่ ให้ถามว่า ไม่มีเชื้อราใช่หรือไม ? ่”
“ไม่ใช่ค่ะ”
“ถามอีกครั้ง มีเชื้อราใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่ค่ะ”

รุ่งกับทอมเริ่มถอนหายใจพร้อมกัน
“เอาล่ะ เชื้อราเป็นเหตุที่ทำให้ตับผิดปกติใช่หรือไม ? ่”
“ใช่ค่ะ”
“เป็นเหตุที่ทำให้ถุงน้ำดีผิดปกติใช่หรือไม่”
“ใช่ค่ะ”
“แฟนนี่ ถามไตซ้าย ไตขวาน่ะ ถามแค่ว่าปกติหรือไม่ แต่ไม่ต้องถามเป็นเปอร์เซนต์”
เธอรัวคำถาม ลูกดิ่งใช้เวลาตอบไม่ถึงสองวินาทีต่อคำถาม
“ทั้งไตซ้าย และ ไตขวา ผิดปกติค่ะ”
“ขาบวมต้นเหตุมาจากไตใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่ค่ะ”
“เชื้อราเป็นต้นเหตุของไตผิดปกติใช่หรือไม ? ่”

“ใช่ค่ะ”

รุ่งเริ่มใจชื้นขึ้น เขามั่นใจว่าเขามาถูกทางแล้ว

“การทานน้ำหวาน เหมาะสมหรือไม่ ? ”
“ไม่เหมาะสมค่ะ”
“การทานไข่ขาว เหมาะสมหรือไม่ ? ”
“ไม่เหมาะสมค่ะ”
“รักษาด้วยอาหารที่มีเพคตินสูงใช่หรือไม่ ? ”
“อะไรนะคะ เพคตินหรือคะ ? ” แฟนนี่ไม่รู้จักคำนี้
“ใช่ เพคตินนะ แฟนนี่  อ้อ..เปลี่ยนใหม่ ถามว่ารักษาด้วยอาหารที่มีเมือกสูงใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่คะ”

รุ่งพอใจกับผลการตรวจ เขามั่นใจแล้วว่าต้นเหตุหลักคือเชื้อรา

“แฟนนี่ งั้นวางโทรศัพท์ก่อน เดี๋ยวมีอะไรจะโทรเข้าไปหาอีกที”

รุ่งหันมาพูดกับทั้งสามคน
“ผมมั่นใจว่าต้นเหตุคือเชื้อราครับ  ทอมโทรหาอาจารย์นาหน่อยสิ”

เขายื่นมือถือกลับไปให้เจ้าของ  รุ่งหยิบลูกดิ่งขึ้นมาใช้งาน เขาต้องการรู้ว่าอาจารย์นาจะตอบปัญหาที่เขาต้องการได้หรือไม่ ลูกดิ่งให้ผลตามที่เขาคาดหวังไว้

ทอมยื่นโทรศัพท์ให้เขา  รุ่งปลีกตัวออกไปคุยโทรศัพท์

ทอมเริ่มให้ความกระจ่างกับชาตรีและรุ้ง

“เชื้อรานี่อันตรายมากค่ะ เป็นอัลฟ่าทอกซินที่ติดเข้าไปกับอาหารพวกผลไม้สุกงอม หรือพวกแป้งขนมปัง และ ผลิตภัณฑ์จากถั่ว เวลาเข้าร่างกายแล้ว จะแพร่พันธ์เป็นสปอร์ เกาะไปทั่วร่างกาย ทำให้ร่างกายรับสารอาหารอะไรไม่ได้เลย เมื่อไปเกาะแพร่พันธ์ที่อวัยวะไหน อวัยวะนั้นก็ใช้งานไม่ได้ เพราะขาดสารอาหาร ถ้าเข้าปอด และ หัวใจ ก็มีโอกาสเสียชีวิตได้  เชื้อราเจริญพันธ์ได้ดีถ้ามีของหวาน กับ โปรตีน  ถ้ายังทานของหวานกับโปรตีน เชื้อราจะแพร่พันธ์ได้เร็วขึ้น”

ชาตรีตกใจ “ตายเลย ก็หมอแนะนำให้ทานแต่น้ำหวาน กับ ไข่ขาว ยิ่งทำให้เชื้อราขยายพันธ์เร็วขึ้นสิ ตาย”

“แต่แค่รู้วิธีรักษา ก็ไม่น่าห่วงแล้ว คือ ทานพวกผักที่มีเมือกเยอะ ๆ เช่น กระเจี๊ยบเขียว ผักบุ้ง ผักปรัง แล้วก็น้ำใบย่านางคั้นก็ช่วยได้  ถ้าอยากได้เร็วก็ใช้สมุนไพรสกัดอัลฟ่าเป็นแคปซูล  ไม่ต้องห่วงแล้วนะคะ ถ้ารู้ต้นเหตุ รักษาหายได้แน่ ๆ  ทอมว่ายังดีกว่ามีไวรัสในไขกระดูกนะ”

รุ่งเดินกลับมา
“พี่ชาตรี พี่จดชื่อหมอที่รามาไว้ก่อนนะครับ หมอโรงพยาบาลรามา เป็นอาจารย์หมอ ชื่อสุรเดช  อาจารย์นาแนะนำว่าอาจารย์หมอคนนี้ เชี่ยวชาญเรื่องเชื้อรามาก”

ชาตรีหยิบปากกามาจด  “ดีเลย ทางพรรคเขาก็ติดต่อได้อยู่แล้ว เพราะหมอสุธรรม กับ หมออรุณศรีก็เป็นสมาชิกพรรคอยู่”

รุ่งหยิบมือถือของทอม กดเข้าไปหาแฟนนี่อีกครั้ง
“แฟนนี่ ดิ่งถามให้หน่อยนะ”
“ค่ะ”
“คุณลุงสมควรย้ายไปโรงพยาบาลรามาใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่ค่ะ”
“หมอที่ชื่อสุรเดช เป็นหมอที่จะรักษาคุณลุงได้ใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่ค่ะ”
“โอเค แค่นี้ก่อนนะ” รุ่งวางสาย

ชาตรีตบบ่ารุ่ง เขารีบเดินกลับไปที่ห้องคนไข้เพื่อคุยกับพี่สะใภ้

รุ้งเดินเข้ามาจับแขนรุ่ง “ขอบคุณมากนะ รุ่ง”
แล้วหันไปจับแขนทอม “ทอมด้วย ขอบคุณมาก”

***********************************************************************************

หกโมงครึ่ง แฟนนี่ไม่ได้รับโทรศัพท์ของใครอีกเลย


เธอตัดสินใจเดินออกมาจากห้องคนไข้ เห็นคุณพ่อกำลังคุยอยู่กับคุณป้า และ สมาชิกพรรคคนอื่น 
เธอมีความปิติเต็มหัวใจ ความมั่นใจทั้งหมดกลับคืนมา  มากยิ่งไปกว่านั้น หากคุณลุงของเธอหายป่วย นั่นก็ได้ชื่อว่า เธอเป็นคนช่วยชีวิตคุณลุงไว้

เพนดูลั่มกลับมาหาเธอแล้ว กลับมาด้วยพลังที่มากขึ้นด้วย เธอรู้สึกได้

มีมือมาคว้าหัวของเธอไว้

แฟนนี่หันกลับมา เห็นใบหน้าคุณแม่ และ สายตาที่อ่อนโยน
เธอซบหน้าที่คอของคุณแม่ 

รุ้งกอดลูกสาวไว้แน่น เธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ความภูมิใจที่มีต่อลูกสาวถูกถ่ายทอดด้วยไออุ่นไปเรียบร้อยแล้ว

“แม่คะ คุณลุงจะได้เป็นหัวหน้าพรรค”

รุ้งขมวดคิ้ว “เอามาจากไหนล่ะ ? ได้ยินคนข้างในเขาพูดกันเหรอ ?”

เธอสั่นหัว  รุ้งนึกขึ้นมาได้แล้วเธอก็ยิ้ม
“รู้อะไร ก็อย่าเพิ่งพูดที่นี่ ไว้กลับบ้านค่อยเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง”
สาวน้อยพยักหน้า

***********************************************************************************

รุ่งปิดประตูรถ  โชเฟอร์สาวเริ่มเคลื่อนรถออกจากลานจอดรถ

 “ทอม แกไปได้วิชามโนมยิทธิมาจากไหน ?”

จำเลยขมวดคิ้ว “แกรู้จักด้วยเหรอ ?”

แต่เธอก็นึกได้ “เอ้อ…ใช่ เพราะแกก็อ่านหนังสือของพระองค์นี้…..ชั้นมีเรื่องที่เล่าไปก็คงไม่มีใครเข้าใจ ชั้นไม่รู้ตัวเหมือนกันว่า ชั้นทำอะไรอย่างนั้นได้ยังไง โดยที่แค่ได้อ่านเพียงครั้งเดียว”

“แค่อ่านครั้งเดียวทำได้ขนาดนั้น แกมีอภิญญาของเก่า” โจทก์มองหน้าจำเลย

“อภิญญาแปลว่าอะไร ? ชั้นก็เห็นในหนังสือพูดคำนี้  ชั้นจะเล่าให้แกฟังแน่ ๆ แล้วก็มีเรื่องอยากจะคุยกับแกมากด้วย เรื่องนี้ ไม่งั้นคืนนี้ชั้นก็คงนอนไม่หลับ แต่ขอเป็นคุยหลังจากกินข้าวเย็น ตอนนี้หิว ชั้นมีเรื่องที่อยากรู้จากแกมาก ๆ ด้วย”

รุ่งอมยิ้ม
“แกยิ้มอะไร ?”
“แกรู้ตัวรึเปล่า แกกำลังถูกตามตัว ? ”
“ถูกตามตัว ใครตาม ?”
“หาข้าวกินกันก่อน แล้วค่อยคุยกัน”

สองสหายเห็นพ้องต้องกัน 

ทอมเร่งเครื่องรถให้เร็วขึ้น 

วันนี้เธอได้พบกับสิ่งน่ามหัศจรรย์ที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิต เธอคิดว่ามันคือสิ่งที่เรียกว่าอภิญญา

จะใช่หรือไม่ เพื่อนเธอคนนี้คงให้คำตอบได้

__________________________________________________________________________________________

โดย วีรยาติ

กลับขึ้นด้านบน

นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก เปิดให้จองแล้ว กดที่นี่

 

อ่านตอนต่อไป
อ่านตอนอื่น

1. สมัครสมาชิก เว๊บบอร์ดที่นี่ (หากไม่สมัครสมาชิก จะโหวต หรือ แสดงความคิดเห็นไม่ได้) และ

2. แสดงความคิดเห็น หรือ โหวต

- ชอบตัวละคร ขอเชิญโหวตได้ที่นี่

- อ่าน หรือ แสดงความคิดเห็นที่นี่

เชิญเยี่ยม Facebook หมอเถื่อน

(ให้กำลังใจโดยเข้าไป แล้วกด Like หรือ เขียนคำวิจารณ์)