| |||||||
| |||||||
ทุกวันนี้ยังนั่งนึกชื่นใจในโชคชะตาว่าตัวเองช่างโชคดีจริง ๆ ที่ได้เป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา กูรูผู้รอบรู้ทางด้านธรรมชาติบำบัดวิถีพุทธอย่างแท้จริง ทุกครั้งที่นั่งเรียนในห้องพระจะอธิษฐานในใจตลอดว่า ... “ความรู้ใด ๆ ที่ท่านอาจารย์สุทธิวัสส์รู้ ขอให้ข้าพเจ้าได้ร่วมรู้ไปด้วย การค้นพบใด ๆ ที่ท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ค้นพบ ขอให้ข้าพเจ้าได้ร่วมค้นพบไปด้วย” (อันนี้ก็มิได้คิดเองหรอก ท่านอาจารย์สอนมาน่ะ) ล่าสุดอาจารย์ท่านนำวิชา “ดนตรีบำบัด” มาปัดฝุ่นสอนใหม่ ด้วยเกรงว่าลูกศิษย์จะหลงลืมละเลย เคยเรียนเคยสอนกันไปหลายครั้ง ก็ไม่เห็นนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แผ่นซีดีเพลงได้ไปก็มากหลาย พอถามว่ายังเก็บอยู่ไหม? ยังทำหน้าชื่นตาใสบอกว่า “เก็บค่ะ” ... อาจารย์เลยแซวกลับว่าเก็บอย่างดีเลยล่ะสิ ไม่เคยนำออกมาใช้เลย!! อึ้งกิมกี่กันไปพักใหญ่ ไม่รู้จะตอบว่ากระไร ... ก็มันจริงนี่นา ... ศิษย์สาย ๒ จำได้ว่าตอนไปเรียนวิชาดนตรีบำบัดครั้งแรกเมื่อ ๒-๓ ปีก่อน ที่ห้องจัดเลี้ยงชั้นล่างของโรงแรมพาลาซโซ่ ตื่นเต้นมาก คนมาเรียนกันแน่นห้อง ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งวัยรุ่น วัยกลางคน และเด็ก ๆ นับได้กว่า ๒๐๐ คน มีการแบ่งกลุ่มกันตามธาตุ ว่าใครจะอยู่ธาตุน้ำ, ธาตุไม้, ธาตุดิน, ธาตุทอง หรือว่าธาตุไฟ โดยใช้เพนดูลัมตรวจสอบ ซึ่งธาตุนี้ก็ไม่เกี่ยวกับธาตุเจ้าเรือนของแต่ละคน จากนั้นก็ต้องออกมายืนทีละกลุ่ม โดยให้สร้างมโนภาพว่าตัวเราเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีรากหยั่งลึกลงสู่ใจกลางโลก วางเท้าขนานกันแบบเลข 11 ย่อเข่าลงเล็กน้อย แล้วปล่อยมือห้อยลงข้างลำตัว หลับตาทำคอตก – ให้ผ่อนคลายแบบสุด ๆ
ทีนี้ล่ะคลื่นเสียงของดนตรีจะเข้าไปทำหน้าที่บำบัดอวัยวะภายในร่างกาย หลายคนจะออกอาการตัวโยกตัวคลอน บางคนก็ร่ายรำในท่วงท่าต่าง ๆ บ้างอ่อนหวาน บ้างดุดัน ตามแต่ว่าอาการใครจะมากหรือน้อย โดยไม่มีการเขียนสคริปต์หรือบังคับให้ทำตามแต่ประการใด กลุ่มธาตุอื่นก็จะยืนดูเพื่อนร่ายรำอย่างทึ่ง ๆ หารู้ไม่ว่าพอถึงกลุ่มตัวเอง อาการก็ไม่ต่างกันหรอก บางครั้งโลดโผนยิ่งกว่าด้วยซ้ำไป
************** มา พ.ศ.นี้ ท่านอาจารย์ไปได้ของดีมาจากเมืองอเมริกา ฝรั่งก็คิดแค่ว่าใช้ฟังเพื่อผ่อนคลายทำสมาธิ แต่อาจารย์ท่านลงลึกกว่าสามารถแยก Track แยกใช้เพื่อบำบัดได้หลายอาการ วิธีฟังให้ได้ผลดีที่สุด คือ ต้องฟังขณะทำสมาธิ แต่ถ้าใช้เปิดฟังทั่วไปก็อาจจะได้ผลช้าหน่อย ที่จริงดนตรีบำบัดมีมานานหลายยุคหลายสมัย นับย้อนไปยุค อินเดียนแดง ก็มีการใช้เสียงกลองบำบัดโรค / คนทิเบตก็มีการเคาะระฆัง เคาะชาม หรือสวดมนต์เสียงดังในพิธีกรรมต่าง ๆ / คนไทยพุทธก็ใช้การสวดมนต์เหมือนกัน / พระอภัยมณีใช้เสียงปี่แทนยานอนหลับ หากยังจำได้เรื่องการเสกน้ำรักษาโรค นั่นคือการส่งคลื่นเสียงจากบทสวดหรือบทเพลง หรือการส่งคลื่นความคิด (กำหนดให้มีแสงสีขาว) เข้าไปเปลี่ยนโมเลกุลของน้ำหรือโปรแกรมข้อมูลให้น้ำสามารถบำบัดรักษาโรคได้ ดนตรีบำบัดก็คือการส่งคลื่นเสียงที่ความถี่แตกต่างกันตามระดับตัวโน้ต เข้าไปทำปฏิกิริยากับเลือดและน้ำเหลืองที่ไหลเวียนอยู่ทั่วตัวเรา-ให้เกิดความสั่นสะเทือนเบา ๆ เขย่าไม่ให้นอนก้น ซึ่งจะส่งผลดีมากกว่าเพลงร็อกกระแทกกระทั้นหรือเฮฟวี่เมทัลตึ้บ ๆ หนัก ๆ เหตุที่ฟังขณะนั่งสมาธิจะยิ่งได้ผลมากกว่า เพราะขณะนั้นอนุภาคแม่เหล็กในสมองเราเรียงอย่างเป็นระเบียบ พร้อมจะรับสิ่งดี ๆ ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์เขาก็เรียกว่า “เคลียร์หน้าจอว่าง” มันน่าอัศจรรย์ไหมล่ะ!? ล่าสุดท่านอาจารย์สอนพวกเราเกี่ยวกับเพลงใหม่ที่มีผลช่วยในระบบย่อยอาหาร โดยท่านได้ทดลองกับตัวเองแล้วได้ผล หลังจากกินข้าวขาหมูไปหนึ่งจาน แล้วเกิดอาการ-อาหารไม่ย่อย
พอได้ฟังเพลงนี้เท่านั้นล่ะ แค่ครึ่งชั่วโมงอาการอืด ๆ เฟ้อ ๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ถึงคราวคณะศิษย์ บางคนก็มีคำถามว่า “หนูยังไม่ได้กินอะไรมาเลยตั้งแต่กลางวัน ท้องร้องจ๊อก ๆ หิว ๆ อย่างนี้จะฟังได้ไหมคะ” (สีหน้ากังวลสุด ๆ) เพราะชั่วโมงเรียนน่ะเริ่มหกโมงเย็น (พอเดาออกไหมคะว่าใครเป็นคนถามคำถามนี้?) อาจารย์ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร เพราะเพลงนี้นอกจากจะช่วยย่อยแล้ว ยังไปปรับระดับกรดในกระเพาะอาหารให้เป็นปกติ เรียกว่าฟังได้ทั้งก่อนอาหารและหลังอาหาร เอาล่ะ-หลับตาทำสมาธิ ... (เสียงอาจารย์นำ) ... ระหว่างหลับตาสร้างมโนภาพว่าเราอยู่คนเดียวในโลก รอบข้างไม่มีใครเหลืออยู่เลย ... ตัวของเราขยายใหญ่ขึ้น-ใหญ่ขึ้น ... ยุบท้องเข้าไล่ลมหายใจออก ... สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ท้องพอง ... หายใจออกท้องยุบ .. ให้ปรับลมหายใจเข้า-ออกเอง ๕ ครั้ง จากนั้นให้สร้างมโนภาพว่าตัวเราเป็นแจกันแก้วรูปทรงมนุษย์ มีน้ำบรรจุอยู่เต็ม ... มีคนเปิดจุกก๊อกที่ด้านล่าง ... ระดับน้ำค่อย ๆ ลดลง-ลดลง ... จากกระหม่อมถึงหว่างคิ้ว จมูก ปาก คาง คอ หัวไหล่ แขนทั้งสองข้าง ฝ่ามือ นิ้วมือ ... ระดับน้ำค่อย ๆ ลดลง-ลดลง จากหัวไหล่ถึงทรวงอก ช่องท้อง สะโพก ต้นขา น่อง ฝ่าเท้า นิ้วเท้า ... ระดับน้ำลดลงจนหมด พอครบ ๓๐ นาที ทุกคนในห้องมีอาการเหมือนกันหมด คือ มีน้ำลายสอ บ้างก็ซู้ดปากระหว่างฟังเพลงไปเรียบร้อย แต่ที่รู้สึกได้ดีที่สุดคืออาการปวดท้องหิวก่อนฟังเพลงมันหายไป พวกเราส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ .. “อ๊ะ-ได้ผลแฮะ!”
ด้วยรัก และ ปรารถนาดี
|
|||||||
|
|||||||