| |||||||
| |||||||
ชอบใจชื่อนี้ในหน้าเฟซบุ๊ก*เลยขอนำมาตั้งเป็นชื่อตอนตะลุ่งตุ้งแช่ตอนล่าที่มาล่าช้าที่ซู้ด ขออนุญาตไม่แก้ตัวแก้ต่างแต่อย่างใด เอาเป็นว่าเรามาตะลุ่งและตุ้งแช่กันเลยดีกว่า.... ช่วงนี้เป็นฤดูน้ำหลาก อ.สุทธิวัสส์ ฝากคำเตือนมาว่า “อย่ากินปลาในหน้านี้ เพราะมีพยาธิเยอะมาก-ยากรอด” แล้วพยาธิก็เป็นต้นเหตุของโรคร้ายหลายชนิด ดังงานวิจัยของ ดร.ฮัลด้า คลาร์ค ชาวแคนาดา ตีพิมพ์เผยแพร่ระบือลือลั่นไปทั้งเว็บ กระทั่ง อ.สุทธิวัสส์ ยังตีฆ้องรับให้ขยับงานเขียนเรียงเล่มเรื่องนี้
ศิษย์สาย ๒ สนองคำบัญชา จัดไป แต่ขอตัดตอนมาลงให้ชาว PMC อ่านก่อนใครดีมั้ยฮ้า... พยาธิ (ที่ไม่ใช่พระญาติ) เข้าสู่ร่างกายคนได้หลายช่องทาง ทั้งทางปาก จมูก ผิวหนัง จากอาหารที่สุก ๆ ดิบ ๆ จากผักสด จากการหายใจ จากสัตว์เลี้ยง หมา แมว พอเข้าแล้วก็จะกินเลือดสด ๆ เป็นอาหาร
ปกติคนเราจะมีเม็ดเลือดแดง ๖ ลิตร พอพยาธิเข้าตัวจะกินเลือดเราไป ๔ ลิตร เหลือให้ดูต่างหน้าแค่ ๒ ลิตร แถมยังกินเม็ดเลือดขาวเป็นขนมหวาน ทำให้ภูมิคุ้มกันตกต่ำถึงขีดสุด ตอนนี้ล่ะไม่ว่าเชื้อโรคอะไรก็ทะลุทะลวงเจาะไชเข้าง่ายดาย แม้แต่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกยังใช้คำว่า “โรคาพยาธิ” นั่นหมายถึงพยาธิเป็นบ่อเกิดแห่งโรค (ร้าย) ทั้งปวงนั่นเอง ในพยาธิจะมีไวรัสติดอยู่ด้วยเสมอ เมื่อพยาธิเข้าร่างกาย เราก็ได้ของแถมเป็น “ไวรัส” เรียกว่าโปรฯ สุดคุ้มซื้อหนึ่งได้ถึงสอง(แต่โปรฯ นี้อิฉันขอบายดีกว่าฮ่ะ) อึของพยาธิถ่ายหมักหมมทับถมอยู่ในตัวเรา มากเข้า ๆ ก็จะกลายเป็นเชื้อรา เชื้อราจากพยาธิจะสร้างพังผืดรอบอวัยวะต่าง ๆ ทำให้เกิดเนื้องอก ซีสต์และ เป็นต้นเหตุของมะเร็ง ! ภูมิคุ้มกันไม่มีก็กลายเป็นภูมิแพ้ แพ้ภูมิตัวเอง (เราคุ้นกันในชื่อโรคพุ่มพวง) อ่อนเพลีย เลือดจาง ธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว แม้กระทั่ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (คงไม่ต้องแปลเป็นภาษาปะกิตนะคะ) หมอแผนปัจจุบันรักษาไม่หายเพราะให้แต่ยาฆ่าเชื้อไวรัส แต่ธรรมชาติบำบัดให้กำจัดพยาธิก่อน แล้วค่อยล้างเชื้อรา จากนั้นค่อยมาจัดการกับไวรัสทีละสายพันธุ์ - - รับประกันหายขาดแน่นอน!! จุดนัดพบหรือ Center Point ของพยาธิ คือ ในลำคอ ทำให้หลายคนมีอาการไอคันคอไม่หยุดติดกันหลาย ๆ เดือน ไม่ว่าจะกินยาแก้ไข้แก้ไอแก้หวัดยังไงก็ไม่หาย ถ้าไม่ถ่ายพยาธิซะก่อน (ข้อนี้ศิษย์สาย ๒ รู้ซึ้งเพราะเคยเจอกับตัวเองมาแล้ว ไออย่างบ้าคลั่ง๓ เดือน ตรวจพบว่ามีพยาธิตัวกลม กินใบข่าอ่อน ๒ ใบ ๒ วัน อาการไอก็หายไป เหลือแต่ไอเลิฟยู (อิอิ)) ดร.ฮัลด้า คลาร์ค ก่อนลาลับจากโลกนี้ไปเมื่อวัย ๘๐ ท่านยังได้คิดค้นเครื่องมือตรวจจับ และ กำจัดพยาธิด้วยความถี่ต่างระดับเรียกว่า พาราแซปเปอร์ (ParaZapper) ไอ้เจ้าแซปเปอร์นี่ยังใช้รักษาโรคอื่น ๆ ได้ดีอีกด้วย (อ่านเพิ่มเดิมในwww.parazapper.com) น่าแปลกใจที่หมอสมัยนี้เค้าเลิกตรวจหาพยาธิกันแล้ว เพราะอะไร? เพราะมันทำให้ภาพพจน์ของหมอดูตกต่ำลงงั้นรึ? หรือ ว่ามันเรียกเก็บค่ารักษาได้น้อยไป ไม่คุ้มกับตึกใหม่ใหญ่อลังฯ ที่เพิ่งสร้างขึ้นหมาด ๆ เอาน่า-ช่างหมอเถอะ บ่นไปงั้นแหละ ชาว PMC ลูกศิษย์ อ.สุทธิวัสส์ นักธรรมชาติบำบัด เน้นการพึ่งตนเองเป็นสำคัญอยู่แล้ว ที่จริงคนเราควรถ่ายพยาธิทุก ๆ ๓ เดือน แต่ยาถ่ายพยาธิที่วางขายกันทั่วไปนั้นมักทำอันตรายต่อตับ และ ทำให้ระบบดูดซึมเสีย-หมดกันจบข่าว แล้วอย่างนี้เราควรจะกินอะไร?? ก่อนอื่นเราจะแบ่งพยาธิออกเป็น ๓ กลุ่ม กลุ่มแรกคือพยาธิตัวกลม ได้แก่พยาธิไส้เดือน, เส้นด้าย, แส้ม้า, ปากขอ, เข็มหมุด พวกนี้จะแพ้ทางกับใบข่า ให้เด็ดใบข่าอ่อน ๆ มากินวันละ ๒ ใบติดกัน ๒ วัน เท่านี้น้องตัวกลมก็งอก่อหงายเก๋ง
ภาพขยายพยาธิตัวกลม กลุ่มที่สอง คือ พยาธิตัวแบน ได้แก่ พยาธิตัวตืด, ใบไม้ พวกนี้ต้องจัดการด้วยเมล็ดฟักทองคั่ว หรือ อบ วันละ ๕๐-๑๐๐ เม็ด เคี้ยวมัน ๆ ติดต่อกัน ๒๐ วัน (หาซื้อได้ง่ายสุดที่ 7-11 จ้ะ) ภาพขยายพยาธิตัวแบน กลุ่มสุดท้ายได้แก่ พยาธิตัวจี๊ด และ พยาธิผิวหนัง พวกนี้จะส่งอาการหลายอย่าง นอกจากทำให้เราเลือดจาง ซีด อ่อนเพลียแล้ว ยังกัดแทะกะเทาะผิวหน้าผิวหนังเราให้เป็นแผลพรุน เป็นหลุมสิว
อย่าลืม-อย่าลืม และ ห้ามลืมเด็ดขาดว่าทุกครั้งที่ถ่ายพยาธิให้อุทิศบุญด้วยบทพูดที่ว่า ... “บุญที่ข้าพเจ้าเคยทำมาในอดีต ปัจจุบัน และที่จะทำต่อไป ขออุทิศให้กับพยาธิ.................ที่อยู่ในตัวข้าพเจ้า ขอให้ได้รับบุญนี้ ขอให้อโหสิกรรมและไปเกิดไปภพภูมิที่สูงขึ้น” (พูดซ้ำหลาย ๆ ครั้ง) เท่านี้ก็เรียบร้อย. *ขอขอบคุณคุณ “ธนิษฐาใจดีแค่ที่นามสกุล เชื้อรากับพยาธิ คือคำหยาบโดยแท้ (สุดแท้แต่น้ำพระทัย)” สำหรับแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อเรื่องค่ะ* ด้วยรัก และ ปรารถนาดี
|
|||||||
|
|||||||