| |||||||
| |||||||
สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท
รุ่งยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าในห้องพัก เขาไม่ได้สำรองเสื้อลำลองพิเศษไว้ที่ห้องพักนี้ ตั้งแต่อุทิศห้องนี้ให้กับเพื่อนจอมอัจฉริยะไปเมื่อหกเดือนที่แล้ว ในตู้เสื้อผ้า จึงมีแต่เพียงเสื้อยืดทำงานบางกอกซีดาร์ฟันปาร์คสีเทาเท่านั้น แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว ใส่เพียงแค่เสื้อยืดธรรมดาเหมือนกับวันทำงานทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ ก็ยังดีกว่า ใส่เสื้อลายสก็อตเจ้าปัญหาตัวนี้ แล้วต้องกลายเป็นตัวตลกของคนแปลกหน้า เมื่อยืนอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้า เขานึกประมวลเหตุการณ์ที่เจอในวันนี้ แล้วสรุปคร่าว ๆ ในใจได้ระดับหนึ่ง ... มอแกน..แน่นอน !.... เมื่อวันที่เขาซื้อเสื้อตัวนี้มาจากร้าน เขานำกลับมาซักที่ห้องพัก ตาก และ ส่งรีดที่ในฟันปาร์ค ไม่ได้เคยนำมันมาใส่ให้ใครเห็น เสื้อลายสก็อตตัวนี้ ถูกเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าในห้องนี้ตั้งแต่วันนั้น เขาซื้อเสื้อตัวนี้มาเพื่อจะใส่ในวันดูคอนเสิร์ต นี่คือสิ่งที่เขาบอกเจ้าเพื่อนเตี้ยสมองล้นเพียงคนเดียว หากจะมีใครสักคนที่สามารถถ่ายรูปเสื้อตัวนี้ไปลงเฟสบุคได้ คนนั้นก็คือมอแกนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่.... เฟสบุคของมอแกนจะมีคนติดตามมากมายขนาดไหนกัน ? หรือ มอแกนนำรูปเสื้อของเขาไปลงเฟสบุคคนอื่น ? แล้วเฟสบุคของใคร ทำไมมีคนติดตามเกี่ยวกับเรื่องตัวเขา ? เสียงสัญญาณเรียกจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น เขาล้วงกระเป๋าหยิบขึ้นมารับสาย หน้าจอแสดงชื่อ 'พี่ภาวี' "รุ่ง อยู่ในโดมคอนเสิร์ตหรือเปล่า ?" "เปล่าครับ !" "พี่มีของมาให้รุ่ง เลยอยากให้ตอนนี้ คอนเสิร์ตเลิก ไม่รู้จะได้เจอกันหรือเปล่า ?" "ของให้ผม ? วันเกิดผมเลยไปแล้วครับ ส่วนวันตายนี่ไม่แน่ หรือ อาจจะเป็นคืนนี้" ภาวีหัวเราะ "รีบ ๆ ให้ก่อนพี่จะไม่มีโอกาสให้" รุ่งพยักหน้า "โลกจะแตกคืนนี้เหรอครับ ? คำทำนายมันคงเป็นจริงคืนนี้ใช่มั้ยครับ ?" "รีบรับไปก่อนโลกจะแตกแล้วกัน พี่ออกไปเจอที่แถวบูธเกมส์ได้มั้ย ? ตรงนั้นมีเก้าอี้อยู่ในหลังคา" "ได้ครับ ! ผมต้องเอาตะกร้า หรือ รถไปขนมั้ยครับ ?" รุ่งยังไม่วายแหย่สาวรุ่นพี่ "ไม่ต้องหรอก แค่หนังสือเล่มเดียว" "โอเค ! งั้นเจอกัน อีกสิบนาทีครับ" เสียงฟ้าคำรามดังมาเป็นระยะ ๆ ฝนเริ่มตกหนาเม็ดขึ้น แต่ในห้องพัก ไม่มีร่มแม้สักคันเดียว รุ่งรีบปิดประตูห้องกลับออกมา ซ่อนกายอยู่ภายใต้เสื้อยืดฟันปาร์คสีเทา วิ่งลงบันไดมาจนถึงชั้นล่างของหอพัก เจ้าหน้าที่ฟันปาร์คหนุ่มกำลังจ่ายพัสดุภัณฑ์ไปรษณีย์เข้าตู้จดหมาย รุ่งทักขึ้น "พี่ครับ ! มีของห้องสามสามสี่มั้ยครับ ?" เขามองดูในหมายเลขที่หน้าตู้ แล้วพยักหน้า "มี ๆ ! แต่ใส่เข้าไปในตู้แล้ว เพิ่งใส่เข้าไปเมื่อกี๊เอง คงต้องไขกุญแจเอาออกมาเองนะ" รุ่งพยักหน้า "ได้ครับ เป็นซองเล็ก หรือ ซองใหญ่ครับ ?" "ซองน้ำตาล ประมาณเอโฟร์น่ะ" รุ่งพยักหน้า มีรอยยิ้ม "เจ๋งเลย !" เขาควักกุญแจพวงกุญแจหอพักออกมา ซึ่งมีกุญแจไขตู้ไปรษณีย์พ่วงอยู่ด้วย จัดแจงไขตู้หมายเลข 334 ซองใส่พัสดุเป็นสีน้ำตาล ขนาดเอโฟร์ เขาพลิกซองเพื่อดูชื่อที่ถูกจ่าหน้า เป็นชื่อของเขาเอง จากการบีบซองดู ข้างในคงมีซองกันกระแทกอีกหนึ่งชั้น สิ่งของที่อยู่ข้างในไม่ได้หนักอะไรมากมายนัก แต่ที่แน่ ๆ คือ ซองนี้ มันใหญ่พอที่จะบังฝนให้เขาได้ชั่วคราวอย่างแน่นอน "ซือก้อย ! ใครนะ ช่างรู้ใจ ส่งไอ้นี่มากันฝนให้ ?" จิตแว่บหนึ่ง นึกถึงสาวนิรนามนางนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าทันที ถ้าแกะซองออกมาแล้ว ข้างในนี้เป็นร่มคันเล็ก ๆ นะ.... ฉันคงต้องขอแต่งงานกับเธอจริง ๆ เขาหัวเราะกับตัวเอง ปิดตู้จดหมาย เก็บพวงกุญแจ แล้วยกซองพัสดุขึ้นบังหัว เริ่มวิ่งออกจากหอพัก ***************************************************************************** ภาวีนั่งรออยู่ที่เก้าอี้สนามภายใต้หลังคา บนตักมีถุงพลาสติคใส่หนังสือขนาดพ็อคเก็ตบุควางอยู่ แสงไฟสีเหลืองจากโคมไฟส่องสว่างพอให้เห็นสายฝนที่โปรยลงมาอย่างไม่ขาดสาย จิตใจเธอ ณ ขณะนี้ รู้สึกมั่นคงดีเป็นปกติ ไม่แกว่งไกว ไร้ที่ยึดเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน แม้ในขณะนี้ ที่อารมณ์ทั้งหลายที่เคยเอียงกะเท่เร่ ได้กลายเป็นกลางแล้ว เธอก็ยังนึกขอบคุณโชคชะตา ที่นำพาให้เธอได้มารู้จักกับผู้ชายคนนี้ รุ่งวิ่งจากกลางแจ้งเข้ามาภายใต้ชายคา ซองกระดาษที่บังหัวมีสภาพแฉะอย่างทั่วถึง ภาวีลุกขึ้นยืน "อ้าว ! ทำไมเปลี่ยนเสื้อล่ะ ? เสื้อตัวเก่าเปียกเหรอ ? หรือว่า ต้องทำงาน ?" "เสื้อตัวนั้นมันมีปัญหากับคนอื่นครับ เรื่องมันยาว ผมใส่ตัวนี้แล้วสบายใจกว่า" ภาวีพยักหน้ารับรู้ แต่คงไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูด เธอยื่นถุงพลาสติคให้ "นี่ ! พี่ให้รุ่ง !" เขายื่นมือรับ มีสีหน้าแปลกใจ "อะไรอะพี่ ?" "รับไปซะก่อนโลกแตก" เขาค่อย ๆ หยิบของออกจากถุง "โฉนดที่ดินเหรอครับ ?" ภาวียิ้ม เธอตอบเบา ๆ "ถ้าเป็นเมื่อก่อนหน้านี้ รุ่งขออะไร พี่คงให้ได้นะ" รุ่งเอียงคอ "เฮ่ย ! โฉนดที่ดินอะนะ ?" อีกฝ่ายหัวเราะ "พูดเล่นน่ะ !" เขาหยิบสมุดออกมาดูหน้าปก มือหนึ่งถือซองกระดาษพัสดุ มือหนึ่งถือสมุด สายตามองไปที่เก้าอี้ "ไปนั่งเก้าอี้ดีกว่าครับ ไม่มีที่วาง" สองคนเดินไปที่เก้าอี้สนามตัวเดิมที่ภาวีนั่งคอยเขาเมื่อครู่ แล้วทรุดตัวลงนั่ง แสงไฟนีออนจากด้านบน สว่างพอที่จะเห็นหน้าปกหนังสือ Manet:The Influence of the Modern
รุ่งอุทาน "มาเนต์ !" เขาพลิกกระดาษข้ามไปเรื่อย ๆ ภาพวาดของมาเนต์ที่มีชื่อเสียงมากมายถูกบรรจุอยู่ในหนังสือเล่มนี้ "ซือก้อย !" รุ่งมองหน้าคนให้ "พี่ซื้อมาจากไหน ? ไม่ใช่ในเมืองไทยแน่ ๆ" "พี่สั่งจากอินเตอร์เน็ต ของส่งมาจากอังกฤษ" "พี่วีให้ผมเนื่องในโอกาสอะไรครับ ? อย่าตอบนะว่า เนื่องในโอกาสอยากจะให้" ภาวีหัวเราะเบา ๆ "เนื่องในโอกาส คืนนี้โลกจะแตก แล้วก็...." รุ่งจ้องหน้าภาวีเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่า เขารอคำตอบ ".... พี่คงไม่ได้เจอรุ่งอีกนาน เพราะว่า แฟนของพี่ได้โปรโมทย้ายไปคุมเขตภาคเหนือ พี่ตัดสินใจว่าจะย้ายตามไปอยู่ที่เชียงใหม่" รุ่งมีสีหน้าประหลาดใจ "โอ้ว... ! เชียงใหม่ ! ไปเมื่อไหร่ครับ ?" "อีกสองอาทิตย์" "กาญจน์รู้เรื่องหรือยังครับ ?" ภาวีพยักหน้า "รู้แล้ว ! เค้าถึงชวนพี่มาเจอรุ่งไง" เขาก้มลงมองที่หนังสือ "พี่อุตส่าห์ซื้อหนังสือนี้ให้ผม แต่ผมยังไม่มีของขวัญให้พี่เลย" ภาวีรีบชิงพูด "ไม่ต้อง ! ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่านี้ ! แค่เรารู้จักกัน พี่ก็คิดว่าเป็นของขวัญที่พี่คงหาจากที่ไหนไม่ได้แล้ว" รุ่งสังเกตเห็นดวงตาของคู่สนทนาที่เริ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตา ความจริงใจที่เพื่อนรุ่นพี่คนนี้สื่อมาให้...เขาได้รับอย่างเต็มเปี่ยม รุ่งก้มลงมองที่หนังสือ เขาไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาเอ่ยได้ในเวลานี้ นิ้วมือเริ่มพลิกหน้ากระดาษไปหยุดที่รูปภาพเด็กชาย กับ สุนัข เขายื่นหนังสือให้ภาวีดู "พี่ดูรูปนี้สิ !" A Boy with A Dog by Manet สาวผู้นิยมศิลปะยิ้ม "ได้อารมณ์เนอะ !" รุ่งพลิกไปอีกสองสามหน้า แล้วชี้ให้ดูรูปที่มีชื่อว่า Chez le Pere Lathuille เป็นรูปหนุ่มสาวชาวฝรั่งเศสสองคน กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร Chez le Pere Lathuille by Manet "เค้าถ่ายทอดความรู้สึกได้เหมือนกับเราได้เข้าไปอยู่ในสถานที่นั้นจริง ๆ" ภาวีพยักหน้าเห็นด้วย "รุ่งเป็นคนแรก ที่พอพี่พูดถึงมาเนต์ แล้วรุ่งรู้ว่าพี่หมายความถึง เอ็ดดูอาร์ด มาเนต์" เขาอมยิ้ม "เหรอครับ ? อือ... คนส่วนใหญ่จะคิดถึงโมเนต์ซะมากกว่า ชื่อก็คล้ายกัน แล้วโมเนต์ ก็ดังกว่า" "รุ่งก็เป็นคนแรกอีก ที่พูดว่า ชอบมาเนต์วาดภาพคน ได้บรรยากาศของสังคมสมัยนั้นมากกว่าโมเนต์ มันโดนใจพี่ที่สุด" ........... by Edouard Manet.........................................by Claude Monet
เขาก็นึกถึงความประทับใจในตัวเธอได้เหมือนกัน
"ตอนที่ผมให้การ์ตูนเรื่องไฟว์เซนติเมตร พี่ก็เป็นคนเดียวที่โทรกลับมาบอกว่า ชอบมาก" ภาวีเลิกคิ้ว "เหรอ ? แล้วกาญจน์เค้าดูแล้วไม่ชอบเหรอ ?" "กาญจน์บอกว่า ดูไม่รู้เรื่อง ฮ่า ๆๆๆ" เขารู้สึกขำจริง ๆ เมื่อนิลกาญจน์บอกกับเขาว่า เธอไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาของการ์ตูนเรื่องนี้ "ภาพสวยมาก แล้วมันก็เรียลลิสติคนะรุ่ง เหมือนกับชีวิตของคนทั่วไป การจากกันมันเป็นเรื่องธรรมดา" รุ่งพยักหน้า "เมื่อถึงเวลาต้องพลัดพรากจากกัน ไม่ว่าการสื่อสารจะทันสมัยแค่ไหน มันก็เชื่อมคนสองคนไว้ไม่อยู่" เป็นอีกครั้งที่ผู้ชายคนนี้ ใช้คำพูดที่ประทับใจเธอ "พูดได้ดีจัง แต่ฟังดูเศร้า !" เขาผงกหัวช้า ๆ "เวลาใครจากผมไป เค้าจะหายไปเลย ไม่ติดต่อกลับมาอีก เป็นยังงี้ทุกคน"
"รุ่งพูดเหมือนกับตัวเองเป็นโทโนะเลย" ภาวีอ้างถึงตัวเอกในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องนั้น รุ่งมีรอยยิ้มจาง ๆ "หรือว่า... ผมเคยได้เจออาการิของผมแล้ว ? แต่... มันอาจจะนานจนผมจำไม่ได้แล้วว่า ความรู้สึกนั้นมันเป็นยังไง" "นี่ยิ่งเหมือนโทโนะเข้าไปใหญ่เลย อย่ารอจนข้ามทางรถไฟซะล่ะ !" เหมือนกับเด็กบ้าการ์ตูนญี่ปุ่นสองคนนั่งคุยกัน แต่ความรู้สึกของเขา เมื่อหวนคิดถึงเนื้อเรื่องในอนิเมชั่น มันช่างเป็นจริงเป็นจังจนสัมผัสได้ ชีวิตของเขาส่วนหนึ่ง ก็คงคล้ายกับโทโนะ "แล้วผมจะรู้มั้ยว่าเธอคนนั้นเป็นอาการิ ? รถไฟเวรนั่น ไม่น่าจะผ่านมาตอนนั้น ผมจะเอาแรงที่ไหนไปหยุดขบวนรถไฟ ?" ภาวีนึกถึงบทเรียนที่ได้มาจากการให้คำปรึกษาของยิ้ม เธอพูดขึ้น "ถ้าเป็นเนื้อคู่อันดับหนึ่ง ไม่ต้องไปห่วงขบวนรถไฟหรอก ! รุ่งจะรู้ได้ตั้งแต่ก่อนข้ามทางรถไฟแน่นอน" "อือ... ก็จริงเหมือนกัน ! พี่วีแต่งงานแล้ว คงได้ผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว พี่ก็ได้รู้ก่อนรถไฟมาใช่มั้ยล่ะ ?" เธอนึกถึงครั้งแรกที่ได้รู้จักรุ่งเมื่อกลางปีที่แล้ว แค่วันนั้นวันเดียวเท่านั้น เหมือนกับเธอถูกหมัดของนักมวยเฮฟวี่เวทปะทะเข้าที่ปลายคาง ทั้งมึน ทั้งงง หมดความเป็นตัวของตัวเองได้ในทันใด อากาศเริ่มเย็นขึ้นเพราะความชื้นจากสายฝน รุ่งสูดหายใจลึก ๆ ภาวีหัวเราะเบา ๆ "ของพี่น่ะ เหมือนถูกรถไฟชน ! วันที่ได้เจอเนื้อคู่ในอดีต วันนั้นเหมือนกับวิญญาณของพี่ถูกกระแทกออกจากร่างเลย" รุ่งเบิกตาโต "โห ! ขนาดนั้นเชียว ! ตายคารางรถไฟเลยดิ ?" อีกฝ่ายหัวเราะในคำถาม "สาหัสเหมือนกัน ! หวังว่า รุ่งคงได้เจอรถไฟชนบ้าง สักวันหนึ่ง" เจ้าตัวหัวเราะชอบใจในคำอวยพร ใครน่ะเหรอ.... ที่เคยทำให้เขารู้สึกเหมือนกับวิญญาณถูกกระชากด้วยขบวนรถไฟ ? ภาวะแบบนั้นมันเคยเกิดขึ้นกับตัวเขานานมากแล้ว ถ้าสิ่งนั้นที่เขาได้ประสบ มันคือการถูกรถไฟขบวนใหญ่ชนเข้าอย่างจัง.... มันก็ไม่แปลก ที่เขาไม่เคยเดินใกล้รางรถไฟอีกเลย นับแต่นั้น ***************************************************************************************************** อ่านหน้า > 2 , 3 |
|||||||