ตอน 14 หน้า1

วันลายสก็อต (2)

สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท

รุ่งยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าในห้องพัก เขาไม่ได้สำรองเสื้อลำลองพิเศษไว้ที่ห้องพักนี้ ตั้งแต่อุทิศห้องนี้ให้กับเพื่อนจอมอัจฉริยะไปเมื่อหกเดือนที่แล้ว

ในตู้เสื้อผ้า จึงมีแต่เพียงเสื้อยืดทำงานบางกอกซีดาร์ฟันปาร์คสีเทาเท่านั้น แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว ใส่เพียงแค่เสื้อยืดธรรมดาเหมือนกับวันทำงานทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ ก็ยังดีกว่า ใส่เสื้อลายสก็อตเจ้าปัญหาตัวนี้ แล้วต้องกลายเป็นตัวตลกของคนแปลกหน้า

เมื่อยืนอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้า เขานึกประมวลเหตุการณ์ที่เจอในวันนี้ แล้วสรุปคร่าว ๆ ในใจได้ระดับหนึ่ง

... มอแกน..แน่นอน !....

เมื่อวันที่เขาซื้อเสื้อตัวนี้มาจากร้าน เขานำกลับมาซักที่ห้องพัก ตาก และ ส่งรีดที่ในฟันปาร์ค ไม่ได้เคยนำมันมาใส่ให้ใครเห็น

เสื้อลายสก็อตตัวนี้ ถูกเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าในห้องนี้ตั้งแต่วันนั้น เขาซื้อเสื้อตัวนี้มาเพื่อจะใส่ในวันดูคอนเสิร์ต นี่คือสิ่งที่เขาบอกเจ้าเพื่อนเตี้ยสมองล้นเพียงคนเดียว

หากจะมีใครสักคนที่สามารถถ่ายรูปเสื้อตัวนี้ไปลงเฟสบุคได้ คนนั้นก็คือมอแกนอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่.... เฟสบุคของมอแกนจะมีคนติดตามมากมายขนาดไหนกัน ? หรือ มอแกนนำรูปเสื้อของเขาไปลงเฟสบุคคนอื่น ? แล้วเฟสบุคของใคร ทำไมมีคนติดตามเกี่ยวกับเรื่องตัวเขา ?

เสียงสัญญาณเรียกจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น เขาล้วงกระเป๋าหยิบขึ้นมารับสาย

หน้าจอแสดงชื่อ 'พี่ภาวี'

"รุ่ง อยู่ในโดมคอนเสิร์ตหรือเปล่า ?"

"เปล่าครับ !"

"พี่มีของมาให้รุ่ง เลยอยากให้ตอนนี้ คอนเสิร์ตเลิก ไม่รู้จะได้เจอกันหรือเปล่า ?"

"ของให้ผม ? วันเกิดผมเลยไปแล้วครับ ส่วนวันตายนี่ไม่แน่ หรือ อาจจะเป็นคืนนี้"

ภาวีหัวเราะ

"รีบ ๆ ให้ก่อนพี่จะไม่มีโอกาสให้"

รุ่งพยักหน้า

"โลกจะแตกคืนนี้เหรอครับ ? คำทำนายมันคงเป็นจริงคืนนี้ใช่มั้ยครับ ?"

"รีบรับไปก่อนโลกจะแตกแล้วกัน พี่ออกไปเจอที่แถวบูธเกมส์ได้มั้ย ? ตรงนั้นมีเก้าอี้อยู่ในหลังคา"

"ได้ครับ ! ผมต้องเอาตะกร้า หรือ รถไปขนมั้ยครับ ?" รุ่งยังไม่วายแหย่สาวรุ่นพี่

"ไม่ต้องหรอก แค่หนังสือเล่มเดียว"

"โอเค ! งั้นเจอกัน อีกสิบนาทีครับ"

เสียงฟ้าคำรามดังมาเป็นระยะ ๆ ฝนเริ่มตกหนาเม็ดขึ้น แต่ในห้องพัก ไม่มีร่มแม้สักคันเดียว

รุ่งรีบปิดประตูห้องกลับออกมา ซ่อนกายอยู่ภายใต้เสื้อยืดฟันปาร์คสีเทา วิ่งลงบันไดมาจนถึงชั้นล่างของหอพัก

เจ้าหน้าที่ฟันปาร์คหนุ่มกำลังจ่ายพัสดุภัณฑ์ไปรษณีย์เข้าตู้จดหมาย

รุ่งทักขึ้น

"พี่ครับ ! มีของห้องสามสามสี่มั้ยครับ ?"

เขามองดูในหมายเลขที่หน้าตู้ แล้วพยักหน้า

"มี ๆ ! แต่ใส่เข้าไปในตู้แล้ว เพิ่งใส่เข้าไปเมื่อกี๊เอง คงต้องไขกุญแจเอาออกมาเองนะ"

รุ่งพยักหน้า

"ได้ครับ เป็นซองเล็ก หรือ ซองใหญ่ครับ ?"

"ซองน้ำตาล ประมาณเอโฟร์น่ะ"

รุ่งพยักหน้า มีรอยยิ้ม

"เจ๋งเลย !"

เขาควักกุญแจพวงกุญแจหอพักออกมา ซึ่งมีกุญแจไขตู้ไปรษณีย์พ่วงอยู่ด้วย

จัดแจงไขตู้หมายเลข 334

ซองใส่พัสดุเป็นสีน้ำตาล ขนาดเอโฟร์ เขาพลิกซองเพื่อดูชื่อที่ถูกจ่าหน้า

เป็นชื่อของเขาเอง จากการบีบซองดู ข้างในคงมีซองกันกระแทกอีกหนึ่งชั้น สิ่งของที่อยู่ข้างในไม่ได้หนักอะไรมากมายนัก แต่ที่แน่ ๆ คือ ซองนี้ มันใหญ่พอที่จะบังฝนให้เขาได้ชั่วคราวอย่างแน่นอน

"ซือก้อย ! ใครนะ ช่างรู้ใจ ส่งไอ้นี่มากันฝนให้ ?"

จิตแว่บหนึ่ง นึกถึงสาวนิรนามนางนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าทันที

ถ้าแกะซองออกมาแล้ว ข้างในนี้เป็นร่มคันเล็ก ๆ นะ.... ฉันคงต้องขอแต่งงานกับเธอจริง ๆ

เขาหัวเราะกับตัวเอง ปิดตู้จดหมาย เก็บพวงกุญแจ แล้วยกซองพัสดุขึ้นบังหัว เริ่มวิ่งออกจากหอพัก

*****************************************************************************

ภาวีนั่งรออยู่ที่เก้าอี้สนามภายใต้หลังคา บนตักมีถุงพลาสติคใส่หนังสือขนาดพ็อคเก็ตบุควางอยู่

แสงไฟสีเหลืองจากโคมไฟส่องสว่างพอให้เห็นสายฝนที่โปรยลงมาอย่างไม่ขาดสาย

จิตใจเธอ ณ ขณะนี้ รู้สึกมั่นคงดีเป็นปกติ ไม่แกว่งไกว ไร้ที่ยึดเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน

แม้ในขณะนี้ ที่อารมณ์ทั้งหลายที่เคยเอียงกะเท่เร่ ได้กลายเป็นกลางแล้ว เธอก็ยังนึกขอบคุณโชคชะตา ที่นำพาให้เธอได้มารู้จักกับผู้ชายคนนี้

รุ่งวิ่งจากกลางแจ้งเข้ามาภายใต้ชายคา ซองกระดาษที่บังหัวมีสภาพแฉะอย่างทั่วถึง

ภาวีลุกขึ้นยืน

"อ้าว ! ทำไมเปลี่ยนเสื้อล่ะ ? เสื้อตัวเก่าเปียกเหรอ ? หรือว่า ต้องทำงาน ?"

"เสื้อตัวนั้นมันมีปัญหากับคนอื่นครับ เรื่องมันยาว ผมใส่ตัวนี้แล้วสบายใจกว่า"

ภาวีพยักหน้ารับรู้ แต่คงไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูด เธอยื่นถุงพลาสติคให้

"นี่ ! พี่ให้รุ่ง !"

เขายื่นมือรับ มีสีหน้าแปลกใจ

"อะไรอะพี่ ?"

"รับไปซะก่อนโลกแตก"

เขาค่อย ๆ หยิบของออกจากถุง

"โฉนดที่ดินเหรอครับ ?"

ภาวียิ้ม เธอตอบเบา ๆ

"ถ้าเป็นเมื่อก่อนหน้านี้ รุ่งขออะไร พี่คงให้ได้นะ"

รุ่งเอียงคอ

"เฮ่ย ! โฉนดที่ดินอะนะ ?"

อีกฝ่ายหัวเราะ

"พูดเล่นน่ะ !"

เขาหยิบสมุดออกมาดูหน้าปก มือหนึ่งถือซองกระดาษพัสดุ มือหนึ่งถือสมุด สายตามองไปที่เก้าอี้

"ไปนั่งเก้าอี้ดีกว่าครับ ไม่มีที่วาง"

สองคนเดินไปที่เก้าอี้สนามตัวเดิมที่ภาวีนั่งคอยเขาเมื่อครู่ แล้วทรุดตัวลงนั่ง

แสงไฟนีออนจากด้านบน สว่างพอที่จะเห็นหน้าปกหนังสือ

Manet:The Influence of the Modern

 

รุ่งอุทาน

"มาเนต์ !"

เขาพลิกกระดาษข้ามไปเรื่อย ๆ ภาพวาดของมาเนต์ที่มีชื่อเสียงมากมายถูกบรรจุอยู่ในหนังสือเล่มนี้

"ซือก้อย !"

รุ่งมองหน้าคนให้

"พี่ซื้อมาจากไหน ? ไม่ใช่ในเมืองไทยแน่ ๆ"

"พี่สั่งจากอินเตอร์เน็ต ของส่งมาจากอังกฤษ"

"พี่วีให้ผมเนื่องในโอกาสอะไรครับ ? อย่าตอบนะว่า เนื่องในโอกาสอยากจะให้"

ภาวีหัวเราะเบา ๆ

"เนื่องในโอกาส คืนนี้โลกจะแตก แล้วก็...."

รุ่งจ้องหน้าภาวีเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่า เขารอคำตอบ

".... พี่คงไม่ได้เจอรุ่งอีกนาน เพราะว่า แฟนของพี่ได้โปรโมทย้ายไปคุมเขตภาคเหนือ พี่ตัดสินใจว่าจะย้ายตามไปอยู่ที่เชียงใหม่"

รุ่งมีสีหน้าประหลาดใจ

"โอ้ว... ! เชียงใหม่ ! ไปเมื่อไหร่ครับ ?"

"อีกสองอาทิตย์"

"กาญจน์รู้เรื่องหรือยังครับ ?"

ภาวีพยักหน้า "รู้แล้ว ! เค้าถึงชวนพี่มาเจอรุ่งไง"

เขาก้มลงมองที่หนังสือ "พี่อุตส่าห์ซื้อหนังสือนี้ให้ผม แต่ผมยังไม่มีของขวัญให้พี่เลย"

ภาวีรีบชิงพูด

"ไม่ต้อง ! ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่านี้ ! แค่เรารู้จักกัน พี่ก็คิดว่าเป็นของขวัญที่พี่คงหาจากที่ไหนไม่ได้แล้ว"

รุ่งสังเกตเห็นดวงตาของคู่สนทนาที่เริ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตา ความจริงใจที่เพื่อนรุ่นพี่คนนี้สื่อมาให้...เขาได้รับอย่างเต็มเปี่ยม

รุ่งก้มลงมองที่หนังสือ เขาไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาเอ่ยได้ในเวลานี้

นิ้วมือเริ่มพลิกหน้ากระดาษไปหยุดที่รูปภาพเด็กชาย กับ สุนัข

เขายื่นหนังสือให้ภาวีดู "พี่ดูรูปนี้สิ !"

A Boy with A Dog by Manet

สาวผู้นิยมศิลปะยิ้ม "ได้อารมณ์เนอะ !"

รุ่งพลิกไปอีกสองสามหน้า แล้วชี้ให้ดูรูปที่มีชื่อว่า Chez le Pere Lathuille เป็นรูปหนุ่มสาวชาวฝรั่งเศสสองคน กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร

Chez le Pere Lathuille by Manet

"เค้าถ่ายทอดความรู้สึกได้เหมือนกับเราได้เข้าไปอยู่ในสถานที่นั้นจริง ๆ"

ภาวีพยักหน้าเห็นด้วย

"รุ่งเป็นคนแรก ที่พอพี่พูดถึงมาเนต์ แล้วรุ่งรู้ว่าพี่หมายความถึง เอ็ดดูอาร์ด มาเนต์"

เขาอมยิ้ม

"เหรอครับ ? อือ... คนส่วนใหญ่จะคิดถึงโมเนต์ซะมากกว่า ชื่อก็คล้ายกัน แล้วโมเนต์ ก็ดังกว่า"

"รุ่งก็เป็นคนแรกอีก ที่พูดว่า ชอบมาเนต์วาดภาพคน ได้บรรยากาศของสังคมสมัยนั้นมากกว่าโมเนต์ มันโดนใจพี่ที่สุด"

...........

by Edouard Manet.........................................by Claude Monet

 

 

เขาก็นึกถึงความประทับใจในตัวเธอได้เหมือนกัน

"ตอนที่ผมให้การ์ตูนเรื่องไฟว์เซนติเมตร พี่ก็เป็นคนเดียวที่โทรกลับมาบอกว่า ชอบมาก"

ภาวีเลิกคิ้ว

"เหรอ ? แล้วกาญจน์เค้าดูแล้วไม่ชอบเหรอ ?"

"กาญจน์บอกว่า ดูไม่รู้เรื่อง ฮ่า ๆๆๆ"

เขารู้สึกขำจริง ๆ เมื่อนิลกาญจน์บอกกับเขาว่า เธอไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาของการ์ตูนเรื่องนี้

"ภาพสวยมาก แล้วมันก็เรียลลิสติคนะรุ่ง เหมือนกับชีวิตของคนทั่วไป การจากกันมันเป็นเรื่องธรรมดา"

รุ่งพยักหน้า

"เมื่อถึงเวลาต้องพลัดพรากจากกัน ไม่ว่าการสื่อสารจะทันสมัยแค่ไหน มันก็เชื่อมคนสองคนไว้ไม่อยู่"

เป็นอีกครั้งที่ผู้ชายคนนี้ ใช้คำพูดที่ประทับใจเธอ

"พูดได้ดีจัง แต่ฟังดูเศร้า !"

เขาผงกหัวช้า ๆ

"เวลาใครจากผมไป เค้าจะหายไปเลย ไม่ติดต่อกลับมาอีก เป็นยังงี้ทุกคน"

"รุ่งพูดเหมือนกับตัวเองเป็นโทโนะเลย"

ภาวีอ้างถึงตัวเอกในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องนั้น

รุ่งมีรอยยิ้มจาง ๆ

"หรือว่า... ผมเคยได้เจออาการิของผมแล้ว ? แต่... มันอาจจะนานจนผมจำไม่ได้แล้วว่า ความรู้สึกนั้นมันเป็นยังไง"

"นี่ยิ่งเหมือนโทโนะเข้าไปใหญ่เลย อย่ารอจนข้ามทางรถไฟซะล่ะ !"

เหมือนกับเด็กบ้าการ์ตูนญี่ปุ่นสองคนนั่งคุยกัน แต่ความรู้สึกของเขา เมื่อหวนคิดถึงเนื้อเรื่องในอนิเมชั่น มันช่างเป็นจริงเป็นจังจนสัมผัสได้

ชีวิตของเขาส่วนหนึ่ง ก็คงคล้ายกับโทโนะ

"แล้วผมจะรู้มั้ยว่าเธอคนนั้นเป็นอาการิ ? รถไฟเวรนั่น ไม่น่าจะผ่านมาตอนนั้น ผมจะเอาแรงที่ไหนไปหยุดขบวนรถไฟ ?"

ภาวีนึกถึงบทเรียนที่ได้มาจากการให้คำปรึกษาของยิ้ม เธอพูดขึ้น

"ถ้าเป็นเนื้อคู่อันดับหนึ่ง ไม่ต้องไปห่วงขบวนรถไฟหรอก ! รุ่งจะรู้ได้ตั้งแต่ก่อนข้ามทางรถไฟแน่นอน"

"อือ... ก็จริงเหมือนกัน ! พี่วีแต่งงานแล้ว คงได้ผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว พี่ก็ได้รู้ก่อนรถไฟมาใช่มั้ยล่ะ ?"

เธอนึกถึงครั้งแรกที่ได้รู้จักรุ่งเมื่อกลางปีที่แล้ว แค่วันนั้นวันเดียวเท่านั้น เหมือนกับเธอถูกหมัดของนักมวยเฮฟวี่เวทปะทะเข้าที่ปลายคาง ทั้งมึน ทั้งงง หมดความเป็นตัวของตัวเองได้ในทันใด

อากาศเริ่มเย็นขึ้นเพราะความชื้นจากสายฝน รุ่งสูดหายใจลึก ๆ

ภาวีหัวเราะเบา ๆ

"ของพี่น่ะ เหมือนถูกรถไฟชน ! วันที่ได้เจอเนื้อคู่ในอดีต วันนั้นเหมือนกับวิญญาณของพี่ถูกกระแทกออกจากร่างเลย"

รุ่งเบิกตาโต

"โห ! ขนาดนั้นเชียว ! ตายคารางรถไฟเลยดิ ?"

อีกฝ่ายหัวเราะในคำถาม

"สาหัสเหมือนกัน ! หวังว่า รุ่งคงได้เจอรถไฟชนบ้าง สักวันหนึ่ง"

เจ้าตัวหัวเราะชอบใจในคำอวยพร

ใครน่ะเหรอ.... ที่เคยทำให้เขารู้สึกเหมือนกับวิญญาณถูกกระชากด้วยขบวนรถไฟ ? ภาวะแบบนั้นมันเคยเกิดขึ้นกับตัวเขานานมากแล้ว

ถ้าสิ่งนั้นที่เขาได้ประสบ มันคือการถูกรถไฟขบวนใหญ่ชนเข้าอย่างจัง.... มันก็ไม่แปลก ที่เขาไม่เคยเดินใกล้รางรถไฟอีกเลย นับแต่นั้น

*****************************************************************************************************

อ่านหน้า > 2 , 3
สั่งซื้อ นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก กดที่นี่