ตอน 25 หน้า 1

อารยะเมตตาจิต

สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท

"ฉันชื่อ จางซีฟ่ง มีพี่ชายสองคน......

คนแรก คือ พี่ชายร่วมสายเลือด ... จางอี

อีกหนึ่ง คือ พี่ชายร่วมโชคชะตา ..... ลั่วจินหลง "

ประโยคเหล่านี้ถูกท่องจำนับเป็นร้อย ๆ ครั้ง ตั้งแต่เธอยังอยู่ในประเทศจีน ทุกครั้งที่ต้องแนะนำตัวเองให้คนอื่นรู้จัก สิ่งที่เธอจะแนะนำได้ดีที่สุด คือ พี่ชายสองคนนี้เท่านั้น

เด็กคนอื่น อาจจะมีเรื่องแนะนำตัวเองมากมาย บ้านอาศัยอยู่กันกี่คน... บ้านมีกี่ห้องนอน.... มีสัตว์เลี้ยง..... มีจักรยาน หรือ อื่น ๆ

แต่สำหรับเธอ.... ที่ต้องใช้ชีวิตในประเทศจีน แบบกึ่งพเนจร ตระเวนไปมาไม่เป็นหลักแหล่ง ต้องนอนรวมห้องอยู่กับพี่ชาย แม้แต่จักรยานสักคันเดียว ก็ไม่มีเป็นของตนเอง

พี่ชายทั้งสองคนนี้เท่านั้น เป็นสิ่งที่เธอใช้แนะนำตัวเองได้อย่างสง่างาม

สองปีกว่าผ่านมาแล้ว กับการที่เธอต้องเหลือพี่ชายเพียงคนเดียว ความอาลัยอาวรณ์ต่อพี่ชายร่วมโชคชะตาลดลงได้เพียงเสี้ยวส่วนพัน ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมีคนพรากชีวิตพี่ชายของเธอไป เธอคงไม่มีทางอยู่อย่างสงบสุข

คิ้วเริ่มขมวดจนเกือบจะชนกัน ความกระหายที่จะซักไซ้ไล่เรียงผู้มีส่วนต้องสงสัยแสดงออกมาทางสีหน้า ลมหายใจเริ่มถี่ขึ้น

ทอมยื่นหน้าเข้ามาใกล้

"คิดอะไรอยู่น่ะ ?"

หงส์สั่นหัว

"เปล่าค่ะ !"

"งั้นใจลอยไปไหน ? เมื่อกี๊พี่ถามว่าอะไรได้ยินหรือเปล่า ?"

"ถามอะไรคะ ?"

ทอมคล้องแขนน้อง

"เมื่อกี๊พี่จิตรถามคุณธรรม์ว่า อาหารที่ร้านบ้านไม้ชายน้ำอร่อยมั้ย ? คุณธรรม์บอกว่า ให้ลองถามหงส์ดู ปรากฏว่าหงส์ใจลอยบินไปไหน"

ธรรม์พูดขึ้น

"เมื่อกี๊นั่งในรถก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงอึดอัดที่ผมขับรถช้าไป"

หงส์หันมาทางพิจิตร

"อาหารใช้ได้เลยค่ะ ! บรรยากาศดีมาก"

พิจิตรหันมาพยักหน้ากับแฟนสาว

"ขากลับเราแวะที่นั่นกัน ดีมั้ย ?"

ทอมพยักหน้ารับ

กรรมการบริหารอาวุโสของกลุ่มธุรกิจไตรสรณ์ รูปร่างท้วม วัยประมาณหกสิบปี แต่งกายด้วยชุดลำลอง เสื้อยืดคอปก กางเกงแสล็ค กำลังเดินเข้ามาในห้องโถงอาคารทิวาทิพย์

เพียงแค่การปรากฏตัวของพีรวิทย์ ก็ทำให้สมาธิของซีฟ่งพุ่งมาจดจ่อที่เขาอย่างห้ามไม่ได้

'พี่หลง ! พี่ช่วยให้ฉันได้คำตอบที่ฉันต้องการรู้ด้วยเถิด'

หนุ่มสาวทั้งสี่คนยกมือไหว้ เมื่อคุณพีรวิทย์เดินมาใกล้

ผู้อาวุโสยกมือรับไหว้ มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นพิจิตรยืนอยู่ในกลุ่มด้วย เขายกมือชี้

"คุณจิตร รู้จักกับคุณธรรม์ด้วยเหรอ ?"

พิจิตรส่งยิ้มให้ แล้วค้อมหลังเล็กน้อย ก่อนตอบ

"เพิ่งรู้จักครับ ! เป็นเพื่อนของเพื่อนผมอีกที" เขาชี้มาที่ทอม "เพื่อนผมชื่อญาครับ !"

ธรรม์เขยิบเข้ามาอีกก้าว แล้วอธิบาย

"ญาเป็นเพื่อนกับน้องหงส์ ครับ เราบังเอิญมาเจอกันที่นี่เมื่อกี๊น่ะครับ"

หงส์พูดขึ้น

"คุณพีรวิทย์จำหงส์ได้มั้ยคะ ?"

ผู้อาวุโสพยักหน้าแล้วหัวเราะ

"จำได้สิ ! ช่างภาพประจำชมรมเดอะท็อปไง ! ภาพที่คุณถ่ายที่สนามกอล์ฟวันนั้นออกมาสวยมาก"

พีรวิทย์ส่งยิ้มให้กับทุกคน

"ตกลงใครมากับใคร ? คุณธรรม์มากับคุณหงส์ แล้วพิจิตรมากับน้องคนนี้ ชื่ออะไรนะครับ ?"

ทอมตอบ

"ชื่อญาค่ะ !"

ไก๊ด์อาวุโสพยักหน้า แล้วทวนชื่อ

"ชื่อญา ?"

"ค่ะ ! ชื่อจริงชื่อฐิติชญา ชื่อเล่นเลยชื่อญาค่ะ"

เขาพยักหน้ารับรู้

"ทานข้าวกลางวันกันหรือยัง ?"

ทุกคนพยักหน้า

พีรวิทย์หันไปทางพิจิตร

"เดี๋ยวผมจะพาคุณธรรม์ไปชมที่นี่ เค้าเพิ่งมาครั้งแรก คุณสองคนจะไปด้วยกันมั้ย ?"

พิจิตรพยักหน้า

"ครับ ! ญาก็เพิ่งเคยมาครั้งแรก ไปด้วยกันเลยก็ได้ครับ"

ทอมหันไปจับแขนของหงส์

"ดี ! ไปด้วยกัน !"

หงส์พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม เธอขยับสายสะพายกล้อง SLR ที่คล้องคอให้อยู่ในตำแหน่งที่ถนัดมากขึ้น

"ยังงั้นเราไปกัน ! เดินเอานะ มีใครใส่ส้นสูงมาหรือเปล่า ?" พีรวิทย์ก้มดูเท้าของทั้งสองสาว

ทอมตอบ

"ไม่มีค่ะ ! รองเท้าคู่นี้เดินได้สบายมาก"

ไก๊ด์อาวุโสเดินลงจากอาคารทิวาทิพย์ แล้วนำผู้มาเยือนเดินเลียบอาคารมาทางด้านซ้าย

ฝั่งตรงกันข้ามอาคารทิวาทิพย์เป็นศาลาไทยหลังคาหกเหลี่ยม คนงานสามคน กำลังช่วยกันถอนรื้อป้ายศาลา

"ศาลาธัชญากร" ทอมอ่านชื่อที่ป้ายของศาลาซึ่งกำลังถูกรื้อออก เธอหันไปทางพิจิตร

"เกี่ยวอะไรกับธัชญากรขนส่งหรือเปล่า ?"

พิจิตรพยักหน้า "ใช่ ! เจ๊เหมี่ยว เจ้าของธัชญากรขนส่ง เคยสนับสนุนที่นี่"

ทั้งคณะหยุดที่ริมทางเดิน มองไปที่ศาลา

หงส์เปิดหน้ากล้อง ยกกล้องนิคอนประจำตัวขึ้นเล็ง โฟกัสไปที่ป้ายศาลา แล้วกดชัตเตอร์

ธรรม์ถามขึ้น

"เจ๊เหมี่ยวที่ปีที่แล้วรายการทอล์คโชว์เชิญไปสัมภาษณ์ใช่มั้ย ?"

หงส์มองหน้าธรรม์

"คุณธรรม์ดูรายการทอล์คโชว์ไทยเหมือนกันเหรอคะ ?"

ธรรม์สั่นหัว

"ไม่ได้ติดตามหรอก แต่เปิดไปเจอ ก็ดูผ่าน ๆ แล้วเปลี่ยนไปช่องอื่น แต่จำได้ว่า เธอให้สัมภาษณ์ว่าชีวิตตอนเด็กลำบากมาก ตอนนี้มีทรัพย์สินเป็นพันล้านแล้ว"

พิจิตรพยักหน้า

"ใช่ครับ ! เจ๊เหมี่ยวมาช่วยที่นี่ตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว"

ทอมถามขึ้น

"เมื่อกี๊พี่จิตรพูดว่า เจ๊เหมี่ยวเคยสนับสนุนที่นี่ แปลว่า ตอนนี้ไม่ได้สนับสนุนแล้วเหรอคะ ?"

พิจิตรเอียงคอ เขามองไปทางผู้อาวุโส

"น่าจะป็นยังงั้นครับ ! เรื่องนี้คุณพีรวิทย์น่าจะรู้ดีกว่า"

พีรวิทย์พยักหน้า

"ตอนนี้เจ๊เหมี่ยวไม่ได้มาที่นี่แล้ว แกถอนตัวไปเมื่อต้นปีนี้ เราก็เลยจะเปลี่ยนชื่อศาลา"

สายตาของหงส์จับจ้องไปที่พีรวิทย์ตลอดเวลา ในใจคิดใคร่ครวญถึงอุบายใด ๆ ที่สามารถทำให้เธอมีโอกาสถามเรื่องนายพงษ์พัฒน์กับเขา

พีรวิทย์อธิบายต่อ

"เป็นธรรมดาน่ะ อุดมการณ์ตรงกัน ก็ไปด้วยกันได้ เมื่ออุดมการณ์เปลี่ยนไป คิดไม่ตรงกัน ก็แยกกันไป อันนี้ปกติ"

ทุกคนพยักหน้าเข้าใจ

พิจิตรพูดขึ้น

"ทางที่พวกเราเดิน ต้องกล้าหาญ ต้องเสียสละ เพื่อจะเปลี่ยนแปลง ใครคิดว่าเหนื่อย ไม่คุ้ม ก็ถอนตัวไป"

ธรรม์พยักหน้า

"ดูท่าทางเจ๊เหมี่ยวเธอก็แม่ค้าเต็มตัว อะไรที่ได้ประโยชน์คุ้มกับการลงทุน ถึงจะเอา เสียสละอย่างเดียว ไม่คุ้มทุน เธออาจจะไม่ไหวมั้ง"

พิจิตรพยักหน้าเห็นด้วย

"น่าจะเป็นยังงั้น !"

พีรวิทย์ก้าวเท้าเดินต่อไป เขาหันมาทางพิจิตร

"คุณธรรม์นี่เป็นผู้อำนวยการของกลุ่มบริษัทไตรสรณ์ เก่งมากนะ ได้รู้จักกันไว้ มีอะไรจะได้ติดต่อกัน"

พิจิตรพยักหน้า ส่งยิ้มให้ธรรม์

"ครับ ! เมื่อกี๊ได้คุยกันนิดหน่อยแล้วครับ"

"ส่วนพิจิตรนี่ เป็นนักเรียนชั้นเอกของที่อารยะเมตตาจิต วันนี้ถือว่า คนเก่งสองคนมาเจอกัน"

ธรรม์หันมาถามพิจิตร

"นักเรียนชั้นเอกคืออะไรครับ ?"

"ที่นี่มีสอนธรรมะ ผมก็เป็นนักเรียนน่ะครับ เรียนดีก็ได้คำชม ประมาณนั้นน่ะครับ"

พีรวิทย์แย้ง

"ไม่ใช่แค่นั้น ! คุณต้องฝึกสมาธิ ผ่านการทดสอบ กว่าจะเป็นนักเรียนชั้นเอก เป็นทหารเอกของพระศรี ฯ ไม่ง่ายเลย"

ทอมเดินเข้าใกล้แฟนหนุ่ม แล้วมองหน้า

"ทหารเอกของพระศรี ฯ ? ไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้างเลย"

พิจิตรอมยิ้ม

"ไว้ว่างค่อยเล่า"

พีรวิทย์หยุดเดิน ชี้มือไปทางด้านขวา

"นี่เป็นสวนสมุนไพร"

ขวามือของคณะทัวร์ มองเห็นสวนขนาดกลางอยู่ข้างหน้า สวนสมุนไพรมีพื้นที่ประมาณหนึ่งไร่ แบ่งโซนเป็นกลุ่มต้นไม้ใหญ่ และ กลุ่มต้นไม้เล็ก มีเรือนเพาะชำแยกออกมาเป็นสัดส่วน

ไก๊ด์อาวุโสพูดขึ้น

"ตอนนี้แดดร้อน ช่วงเย็น ๆ ถึงจะเดินเที่ยวได้"

พิจิตรอธิบายเพิ่ม

"สมุนไพรพวกนี้ใช้เป็นยา ที่นี่รับรักษาคนป่วยโดยไม่คิดเงิน สมุนไพรในสวนนี้ ก็ฝีมือของลูกศิษย์ที่เป็นนักเรียน เด็ก ๆ ชั้นประถมมาเรียนวิธีปลูกต้นไม้ เรียนรู้สมุนไพร ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์"

ทอมพยักหน้า

"ดีจังเลย ! ที่นี่รักษาคนป่วยด้วยวิธีอะไรคะ ? แพทย์แผนไทย ?"

พิจิตรสั่นหัว

"ไม่ใช่ ! เราเรียกว่า แพทย์แผนอารยะ ที่นี่จะไม่ใช้ยาฝรั่ง ใช้แต่สมุนไพรไทย แต่วิธีตรวจก็ไม่ใช่แพทย์แผนไทย"

"หมอแมะ ?" แฟนสาวถามด้วยความอยากรู้

"ไม่ใช่ครับ ! เราใช้พลังธรรมชาติในการตรวจ ถ้าพบต้นเหตุแล้วรักษาด้วยสมุนไพร กับใช้พลังบำบัด"

"พลังบำบัด ! พี่จิตรรักษาคนไข้เป็นด้วยเหรอ ?"

"เปล่า ! ผมไม่ถนัดเรื่องเป็นหมอ ผมถนัดแต่เรื่องปราบมาร"

ทอมแสดงสีหน้าประหลาดใจ

"มีปราบมารด้วย ! มารที่ไหนคะ ?"

"ก็.... จริง ๆ งานที่เราทำกับเอ็นแอลที ฯ ก็ถือว่าปราบมารนะ มารของประเทศชาติไง"

ทอมนึกถึงงานที่ทำอยู่ โครงการของเอ็นแอลที ฯนั้น ก็มีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมให้กองทัพไทย มีระบบการป้องกันชาติที่เข้มแข็งขึ้น

เธอพยักหน้าหงึก ๆ

"ใช่ ๆ ๆ ! ถึงเราไม่ใช่ทหาร แต่เราก็ทำหน้าที่เหมือนกับทหาร คือ เป็นรั้วของชาติได้เหมือนกัน"

ธรรม์เอียงคอ แล้วถามขึ้น

"น้องสองคน ทำงานอะไรกันเหรอครับ ?"

ทอมผายมือไปที่พิจิตร

"ให้หัวหน้าตอบดีกว่าค่ะ !"

หัวหน้างานพยักหน้ารับ

"เราทำงานบริษัทร่วมทุนระหว่างเยอรมันกับอเมริกา ผลิตเครื่องมือควบคุมอาวุธ และ การสื่อสารทางทหารครับ บริษัทเรากำลังทำโครงการร่วมกันกับกระทรวงกลาโหมไทยเกี่ยวกับเทคโนโลยีป้องกันประเทศครับ เทคโนโลยีนี้จะทำให้กองทัพไทยมีศักยภาพทิ้งห่างประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียน"

ทอมพูดแซมขึ้น

"ถ้าไม่โดนเรื่องการเมืองแบนไปซะก่อนนะ"

ธรรม์มีสีหน้าแสดงความสนใจ

"น่าสนุกนะ งานแบบนี้ ไม่ต้องเป็นทหาร แต่ก็ช่วยป้องกันศัตรูได้ แล้วนี่รัฐบาลเพิ่งปรับครม. เปลี่ยนรัฐมนตรีกลาโหม โดนกระทบกันมั้ยครับ ?"

ทอมพยักหน้า

"ก็นี่แหละค่ะ ทำให้โครงการชะงัก ต้องรอว่าผู้ใหญ่จะว่ายังไง ไม่งั้น เราสองคนอาจตกงาน" เธอพูดแล้วหัวเราะ

ธรรม์ถามต่อ

"แล้วยังงี้ต้องไปเรียนรู้เรื่องอาวุธด้วยหรือเปล่าครับ ?"

พิจิตรพยักหน้า

"ครับ ! ต้องรู้บ้าง เราต้องไปอบรมที่เยอรมัน กับ อเมริกา แต่ไม่ได้รู้ทุกอย่าง รู้เพียงคอนเซปท์ในการทำงานของอาวุธที่เกี่ยวข้อง"

ธรรม์หันหน้ามาทางพนักงานสาวของเอ็นแอลที

"แล้วญาต้องเรียนด้วย ?"

"ค่ะ !"

"เป็นผู้หญิง สนุกมั้ยครับ ไปเรียนเรื่องอาวุธ ?"

พิจิตรหัวเราะ

"สนุกกว่าผู้ชายแล้วมั้งครับ ! ญาเค้าได้ฝึกยิงปืนจนติดใจ"

ทอมพูดขึ้น

"ปืนที่ติดตั้งเทคโนโลยีของเอ็นแอลทีทำให้ศูนย์บังคับบัญชารู้สถานะของปืนได้ตลอดเวลา แค่ปลดเซฟตี้ที่ปืนของตัวเอง ที่ศูนย์ก็จะรู้ทันทีว่า ปืนของเราถูกปลดเซฟตี้ เตรียมยิง แสดงว่ามีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น ยิงเมื่อไหร่ ที่ศูนย์ก็รู้ทันทีว่ามีการยิงเกิดขึ้น"

"แล้วญาต้องทำหน้าที่อะไรครับ ? สอนการใช้ปืน ?"

เธอสั่นหัว

"ไม่ต้องเชี่ยวชาญอาวุธถึงขนาดนั้นหรอค่ะ ! ญาต้องใช้ซอฟท์แวร์เป็น สามารถสาธิตการใช้ซอฟท์แวร์ที่ติดตั้งที่ศูนย์บังคับบัญชาได้ ต้องสอนวิธีใช้อินเตอร์เฟซให้กับกองทัพไทยได้"

ธรรม์ผงกหัวหงึก ๆ

"เก่งมาก !"

"เรามีเทคโนโลยีเตรียมไว้สำหรับโครงการโฮมเวปพอน (Home Weapon) ในอนาคตด้วยค่ะ"

"โฮมเวปพอน... อาวุธประจำบ้าน ?" ธรรม์แปลจากภาษาอังกฤษแบบตรงตัว

"ค่ะ ! อาวุธเคหะพลเรือน..... โฮมเวปพอน เริ่มใช้ในบางประเทศ ที่อนุญาตให้ประชาชนมีอาวุธติดบ้านไว้ได้ แต่หน่วยงานราชการสามารถควบคุมการสั่งปลดเซฟตี้ก่อนใช้ได้

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณธรรม์ขอมีอาวุธ ก็ต้องไปจดทะเบียนไว้กับทางสถานีตำรวจ เราจะได้ปืนไปไว้ที่บ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไปติดตั้งอุปกรณ์ไวร์เลสเล็ก ๆ ยึดติดกับผนังกำแพงบ้าน เรียกว่า โฮมพรีมิสดีไวซ์ (Home Premise Device) มันจะปล่อยสัญญาณไวไฟคลุมเนื้อที่ประมาณไม่เกินสองร้อยตารางวา ตราบใดที่ปืนของเรา อยู่ในอาณาเขตไวไฟ เรากดปุ่มขอปลดเซฟตี้ที่ปืน ทางสถานีตำรวจจะรู้ แล้วสั่งสัญญาณปลดเซฟตี้มาให้ปืน ปืนนั้นจะใช้ยิงได้ภายในอาณาเขตบ้านของเราเท่านั้น

แต่เมื่อได้ยิงเมื่อไหร่ ตำรวจจะรู้ แล้วก็ขึ้นกับนโยบายของกรมตำรวจในประเทศนั้น ๆ ว่าจะส่งทีมเจ้าหน้าที่ไปบ้านที่เกิดเหตุนั้น หรือว่าจะยังไง"

ธรรม์พยักหน้าเข้าใจภาพรวม

"อื้อ.... ไฮเทคดี ! เดี๋ยวผมซื้อจากญาไปติดที่บ้านด้วยได้มั้ย ?" เขาหยอกเล่น

ทอมหัวเราะ

"ไม่ได้หรอกค่ะ ! ต้องลงระบบใหญ่ที่ศูนย์ก่อน ตำรวจไทยยังไม่ใช้ระบบนี้ กฏหมายไทยยังไม่ได้เปิดเรื่องนี้"

พิจิตรเสริมขึ้น

"ถ้ารีบ ก็ จ้างญาเค้าไปเฝ้าบ้านให้ก่อนก็ได้ครับ เค้ายิงปืนแม่นนะ"

ทอมหัวเราะในคำหยอกของแฟนหนุ่ม

"ยิงในโรงซ้อมน่ะได้ แต่ให้ยิงคนจริง ๆ ญาไม่กล้าหรอก"

พีรวิทย์เดินเข้ามาตบบ่าพิจิตร

"ไอ้เรื่องการป้องกันชาติพวกนี้น่ะ ต่อไปก็ต้องพึ่งทหารเอกพระศรี ฯ อย่างพวกคุณแล้วนะ"

พิจิตรรีบโบกมือปฏิเสธ

"คุณพีรวิทย์อย่าพูดอย่างนั้นครับ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน จะเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นทหารจริง ๆ"

"คุณน่ะ เป็นทหารมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบันก็ถือว่าเป็นทหารที่ไม่ต้องขึ้นกับหน่วยงานราชการ ขึ้นกับพระศรี ฯ ท่านเท่านั้น"

ทอมกับธรรม์ยืนยิ้ม แม้ไม่เข้าใจถ่องแท้ถึงความหมายของทั้งประโยค

แฟนสาวพยักหน้า

"ชาติก่อนก็เป็นทหารสินะ !"

พีรวิทย์หันมาทางช่างภาพสมัครเล่นที่ยืนเงียบอยู่

"ถ่ายรูปได้เรื่อย ๆ เลยนะ อยากถ่ายตรงไหนเชิญตามสบาย เดี๋ยวผมจะพาเดินไปที่ศาลาธรรม ที่นั่นเป็นห้องเรียน"

หงส์พยักหน้า

"ค่ะ !"

คณะทัวร์ก้าวเท้าเดินเลียบสวนสมุนไพรไปตามทางเดิน

ธรรม์หันมาทางช่างภาพ

"บรรยากาศร่มรื่นดีนะ !"

หงส์พยักหน้า ส่งยิ้มให้

"ค่ะ !"

ใบหน้าของอาหลงเริ่มเข้ามาวนเวียนอยู่ในสำนึก สองปีที่เพียรพยายามค้นหาคำตอบ วันนี้เธอสามารถเข้าใกล้ปลายทางได้อีกหนึ่งขั้น

ฐิติชญาเดินเข้าไปประชิดแฟนหนุ่ม

"มีความลับเยอะนะ พี่จิตร !"

"ความลับอะไร ?"

เธออมยิ้ม "น่าสงสัยว่า ทั้งฉลาด ทั้งเก่งขนาดนี้ อยู่เป็นโสดมาเจอกันได้ยังไงนะ ?"

พิจิตรส่งยิ้มให้แทนคำตอบ

*******************************************************************************************

พีรวิทย์พาคณะเดินบนถนนซีเมนต์สองเลน มาถึงบริเวณศาลาธรรมหลังใหญ่

ไก๊ด์อาวุโสผายมือ

"เราขึ้นไปคุยกันบนศาลา" เขาถอดรองเท้าแล้ว นำก้าวขึ้นบันได ผู้มาเยือนต่างถอดรองเท้า แล้วก้าวตามกันขึ้นไปบนศาลา

พื้นศาลาปูด้วยไม้ทั้งหมด หลังคาของศาลาสูงมากกว่าสี่เมตร ลมธรรมชาติโกรกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ด้านขวาของศาลาเป็นทุ่งโล่งเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว

ธรรม์พูดขึ้น

"ข้างบนนี้ อากาศเย็นสบายกว่าข้างนอก"

พิจิตร กับ ทอม พยักหน้าเห็นด้วย

พิจิตรพูดขึ้น

"เราใช้ที่นี่เป็นที่เรียนธรรมะ ผมจะต้องมาเรียนเดือนละหนึ่งครั้ง นี่หมายถึงตอนก่อนที่จะไปเยอรมันนะครับ ตอนหน้าร้อน แดดข้างนอกร้อนจัด อยู่ในศาลานี้ยังรู้สึกเย็นสบายเลย"

ทอมถาม

"เรียนกับใครคะ ? ใครเป็นคนสอน ?"

"คุณปั้นครับ ! คุณปั้นก็คล้ายกับครูใหญ่ของที่นี่ ถ้าเป็นที่อื่นก็เรียกว่าเจ้าสำนัก แต่คุณปั้นไม่อยากให้เรียกแล้วดูใหญ่โต อยากให้เรียบง่าย เลยให้ทุกคนเรียกว่าครูปั้น"

"สอนระลึกชาติด้วยใช่มั้ยคะ ?" แฟนสาวถามในสิ่งที่ตัวเองสนใจ

พิจิตรอ้ำอึ้งสักอึดใจ

"ระลึกชาติเหรอ ?... เอ่อ.... ก็.... ไม่ใช่เรียนระลึกชาติเท่านั้น เราเรียนธรรมะครองเมือง แนวคิดหลัก คือ ประเทศไทยจะอยู่ได้ คนในสังคมต้องรู้จักธรรมะที่ถูกต้อง ต้องใช้ธรรมะครองเมือง ไม่ใช่ใช้อำนาจ ใช้เงินครองเมือง

คำว่า ธรรมะ คือ ธรรมชาติ

ก่อนอื่นต้องรู้จักว่าธรรมชาติคืออะไร เราจะผสานธรรมชาติเข้ากับชีวิตเราได้ยังไง ก็เรียนเรื่องสรรพสิ่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ สัตว์ ต้นไม้ใบหญ้า แล้วก็นำความรู้มารักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิตตัวเอง เพื่อต่อไปจะได้ช่วยผู้อื่นช่วยสังคมได้"

ทอมพยักหน้า

"มีสอนแบบนี้ด้วย ธรรมะครองเมือง ! ญาเรียนด้วยได้มั้ย ? พี่จิตรไม่เคยเล่าให้ญาฟังเรื่องพวกนี้เลย มิน่าพี่จิตรถึงเป็นคนแบบนี้"

แฟนหนุ่มหัวเราะ

"เป็นคนแบบนี้ ! เป็นแบบไหน ?"

"ก็ รักคนอื่นมากกว่ารักตัวเอง ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินแล้ว"

อีกฝ่ายกระพริบตาถี่ ๆ นึกไม่ออกว่าเหตุการณ์ไหนที่แฟนสาวกำลังโยงเรื่องไป

"ขึ้นเครื่องบินที่ไหน ?"

ฐิติชญาสั่นหัว เธอไม่อยากพูดเรื่องความประทับใจครั้งแรกที่มีต่อเขา ต่อหน้าผู้อื่น

"แล้ว ญาเข้าเรียนได้หรือเปล่าล่ะ ?"

กลับเป็นไก๊ด์อาวุโสที่พยักหน้าแทน

"ได้สิครับ ! ที่นี่ไม่มีพิธีอะไรมาก แค่สนใจ ตั้งใจ ก็เข้าเรียนได้ เดี๋ยวพูดกับคุณปั้นเอง ผมนัดคุณปั้นไว้ที่นี่"

ช่างภาพสาวปลีกตัวเดินออกมาทางอีกฟากหนึ่งของศาลา

จิตใจกระสับกระส่าย คิดแต่จะหาโอกาสสนทนากับเป้าหมายสองต่อสอง นิ้วชี้คลำที่ชัตเตอร์ไปมา พลางนึกถึงอุบายที่จะนำมาใช้ได้โดยไม่ผิดสังเกตุ แต่ดูเหมือนสติปัญญาของเธอ ณ ตอนนี้ มีอารมณ์โทสะเข้ามาปนอยู่มาก ความคิดไม่ไหลแล่นเหมือนปกติ

โอกาสที่จะได้พบคุณพีรวิทย์นอกสถานที่ทำงาน มีไม่มากนัก หากไม่ใช่วันนี้แล้ว เธออาจต้องรออีกนานเท่าไหร่ก็คาดคะเนไม่ได้

หงส์สูดหายใจยาว เธอได้ตัดสินใจแล้ว แค่เดินตรงเข้าไปหาเขา แล้วขอปลีกตัวออกมาคุยสองต่อสอง เชื่อว่า เขาจะไม่ปฏิเสธ

เสียงฝีเท้าของทอมเดินเข้ามาใกล้

"น้องหงส์ถ่ายได้กี่รูปแล้ว ? หาทำเลอยู่เหรอ ?"

"อ๋อ เปล่าค่ะ ! หงส์คิดว่าจะคุยกับคุณพีรวิทย์ มีเรื่องจะสอบถามหน่อย" พูดแล้วเธอก็เดินผละจากเพื่อนรุ่นพี่ทันที

ทอมเลิกคิ้ว มีสีหน้าฉงน

เลอหงส์ก้าวเท้าตรงรี่ไปทางเป้าหมาย

เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น ทำให้เธอชะงัก หยุดยืนอยู่กลางศาลา

หน้าจอโทรศัพท์มือเธอ ขึ้นชื่อผู้โทรเข้า คือ พี่ชาย เธอกดรับสาย

"เหวย ! ต้าเกอ !...."

เสียงพี่ชายพูดภาษาจีนกลาง

"อาฟ่ง ! เธออยู่ที่ไหน ?"

"มีอะไรเหรอ ?"

"เดินออกมาจากศาลา ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ"

ซีฟ่งเบิกตาโต เธอรีบหันมองกวาดออกไปรอบศาลา แต่ไม่พบเห็นใครอื่นนอกจากคณะของเธอ

"พี่รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่ไหน ?"

"เธอเดินออกมาจากศาลา แล้วคุยกับฉัน เดี๋ยวนี้ !" สำเนียงพี่ชายห้วน พูดด้วยความเด็ดขาด

"เดี๋ยวฉันโทรกลับไปนะ วางสายก่อน !"

หงส์มองไปที่คณะซึ่งกำลังยืนคุยสัพเพเหระกันอยู่

"หงส์ขอตัวเดินออกไปคุยโทรศัพท์นะคะ เดี๋ยวกลับมา"

ทุกคนพยักหน้ารับรู้

พีรวิทย์พูดขึ้น

"คุณหงส์อย่าเดินไปทางฝั่งโน้นนะครับ งูเยอะ เดินไปทางนี้ได้" เขาชี้มือบอกทิศทาง

หงส์ผงกหัว ส่งยิ้มให้ แล้วเดินลงจากศาลา

***********************************************************************************************

เธอยืนหลบอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ กดโทรศัพท์กลับไปหาพี่ชาย

"พี่ใหญ่ !"

"อาฟ่ง ! เธอต้องไม่พูดเรื่องนายตำรวจคนนั้น กับคุณพีรวิทย์ !"

น้องสาวรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินพี่ชายทักในสิ่งที่เธอกำลังจะทำ

"พี่ใหญ่ รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง ?"

"น้ายงค์ป่วยหนัก ฉันส่งเข้าโรงพยาบาลเมื่อเช้านี้ ตอนนี้อยู่ห้องฉุกเฉิน หากออกจากห้องฉุกเฉินแล้ว อาจต้องเข้าไอซียู เขาไม่สามารถจะหายใจเองได้โดยไม่มีเครื่องดูดเสมหะ"

"น้ายงค์ !"

เธอพึมพำด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา อาการไอ และ การหายใจอย่างทรมานของนักสืบอาวุโสที่เธอได้เห็น ปรากฏเป็นภาพในความคิด ณ ขณะนี้

"หมอว่าน้ายงค์เป็นอะไร ? อาการหนักมากแค่ไหน พี่ใหญ่ ?"

"รอผลเอ็กซ์เรย์ก่อน"

"น้ายงค์เล่าให้พี่ใหญ่ฟัง ?"

"ใช่ ! เขาคิดว่าเขาจำเป็นต้องบอกฉัน เพราะอาจเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่เขาจะพูดกับฉันได้ แล้วเขาก็รู้ดีว่า ฉันมีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่โกรธเธอ"

"โอกาสสุดท้าย ? แสดงว่าเขารู้ตัวมาตลอดว่าป่วยหนัก แล้วทำไมถึงไม่รักษาอย่างจริงจัง ?"

ความรู้สึกที่มีต่อนักสืบประยงค์ ทำให้น้ำตาเริ่มคลอหน่วย

"อาฟ่ง ! เธอต้องฟังฉันพูด ! ขอให้เธอหยุดในสิ่งที่เธอกำลังจะทำ เพราะมันจะทำให้เรื่องราวบานปลายกว่าที่เธอคิด หากเธอจะนำความหลังเรื่องเก่า มาคิดให้หมกมุ่น มันจะทำลายอนาคต"

น้องสาวเริ่มขึ้นเสียง

"ใครจะไปลืมได้เหมือนพี่ใหญ่ ?

พี่ให้ฉันลืมเรื่องพี่หลง ฉันรู้ว่าพี่เก่งมาก การบวชของพี่ทำให้พี่เปลี่ยนเป็นคนใหม่ ลืมสิ่งเก่า ๆ ได้ นั่นคือพี่ แต่ฉันก็คือฉัน ชั่วชีวิตนี้ของฉัน ฉันไม่สามารถลืมพี่หลงได้ และ ฉันก็จะไม่ลืม

พี่อาจมีตาวิเศษ ที่มองเห็นฉันได้ อ่านใจฉันได้ รู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน หรือ กำลังจะทำอะไร.... ถ้าพี่อ่านใจฉันได้ตั้งแต่ต้น พี่ก็น่าจะรู้ว่า ฉันไม่มีทางลืมพี่หลงได้ มีประโยชน์อะไรมาอ่านใจฉันตอนนี้ ฉันจะไม่มีความสุข ถ้าไม่รู้ว่า พี่หลงต้องตายเพราะอะไร"

"ฉันอ่านใจเธอไม่ได้หรอก อาฟ่ง ! ถ้าน้ายงค์ไม่เล่า ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร กำลังจะทำอะไร เพราะน้ายงค์เล่า ฉันถึงให้ฟ้าดินช่วยสื่อสารให้ฉันรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน

เธอ... สำหรับคนของไตรสรณ์แล้ว... เธอคือตัวแทนของกิจบูรณา สิ่งที่เธอกำลังจะทำ มันจะสร้างความเสียหายให้กิจบูรณา พวกเขาอาจจะต้องกลายเป็นศัตรูในที่แจ้ง หากเธอเปิดเผยกับคุณพีรวิทย์ว่า เธอรู้เรื่องนายตำรวจคนนั้น คุณพีรวิทย์จะรู้ทันทีว่าเธอมีวัตถุประสงค์อื่น ๆ แฝงอยู่ โดยใช้ชื่อกิจบูรณาบังหน้า เพื่อเข้าถึงตัวเขา"

"คุณพีรวิทย์ ดูท่าทางไม่น่ากลัว หงส์ไม่กลัว "

"เธอแน่ใจได้อย่างไร ? เธอเคยเจอเขากี่ครั้ง ? คุณพีรวิทย์ กับ คุณปัญจวิทย์ สองพี่น้องแก่งอุดม เป็นคนที่คนในครอบครัวไตรสรณ์ทุกคน...กลัว !

ฟังฉันนะ ! ฉันใช้คำว่า กลัว ไม่ใช่แค่คำว่า เกรงใจ

ความกลัว มันมีความหมายอื่นที่มีนัยสำคัญซ่อนอยู่ ความรู้สึกนี้ มีอยู่ในใจของคุณมัณฑนามาตลอด

ในชีวิตของผู้หญิงเก่งคนนี้ ไม่มีสิ่งใดทำให้เธอกลัวไปได้มากกว่า สองพี่น้องของแก่งอุดม"

ประโยคสุดท้ายของพี่ชาย ทำให้เธอหยุด เพื่อคิด

คุณมัณฑนา.... สุดยอดของสตรีที่สมบูรณ์แบบไปด้วย สติปัญญา ความเฉลียวฉลาด และ อำนาจ ... ยังกลัวสองพี่น้องแห่งแก่งอุดม

แอนดี้รู้ว่าน้องสาวเงียบเพราะกำลังใคร่ครวญในสิ่งที่เขาได้พูดไป

เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

"เพราะฉันอ่านใจเธอไม่ได้ ฉันจึงไม่เข้าใจเธอ แต่ตอนนี้ ฉันเข้าใจเธอแล้ว ฉันจะไม่ห้ามให้เธอลืมเรื่องอาหลง เพราะ ในที่สุดแล้ว ฉันก็ไม่มีทางเลือกอยู่ดี หากฉันไม่ช่วยเธอ เธอก็คงจะทำเรื่องนี้โดยลำพัง แล้วก็จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปกว่าเดิม

อีกอย่างนะ เธอก็เข้าใจฉันผิด อาฟ่ง ! ฉันไม่เคยลืมอาหลง และ ฉันก็จะไม่มีวันลืมอาหลงเหมือนกัน ที่ฉันบอกเธอให้ลืม ฉันหมายความว่า ให้ลืมเรื่องความแค้น

ปมการตายของอาหลง เราสองคนมาช่วยกัน เธอคงยังเชื่อในความสามารถของฉันใช่มั้ย ?"

น้องสาวยังเงียบ ไม่มีคำตอบ

"ฉันถามว่า อาฟ่ง ! เธอยังเชื่อในความสามารถของพี่ชายคนนี้ใช่มั้ย ?"

แอนดี้ใช้น้ำเสียงที่หนักมากขึ้นเพื่อเน้นความจริงจัง

"แน่นอน ! ฉันเชื่อ"

"ถ้าเธอเชื่อ เรามาช่วยกันคลี่คลายเรื่องนี้ แต่ เราจะไม่ทำเพราะอารมณ์โกรธ และ จะไม่มีการแก้แค้นใด ๆ เราจะทำเพื่อความสงบสุขของเราสองพี่น้อง หากเรารู้เหตุผล เชื่อว่า เราก็จะสงบลงได้ มันจะเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ?"

ความสงบสุขเป็นสิ่งที่เธอเคยสัมผัสได้ตั้งแต่เมื่อเริ่มต้นเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย จนกระทั่งวันที่อาหลงจากไป เขาได้นำความสงบในชีวิตเธอจากไปด้วย

"ใช่ ! มันจะเป็นอย่างนั้น" เธอตอบพี่ชาย

"เอาล่ะ ! ต่อไปนี้ เราสองคนจะช่วยกันสะสางเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ ขอให้เธอเข้าใจความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างกิจบูรณากับไตรสรณ์ ซึ่งหมายถึงแก่งอุดมด้วย ขอให้นึกถึงบุญคุณของคุณหญิง เมื่อเธอนึกถึงท่าน เธอจะมีความอดทน ไม่ทำสิ่งที่ขาดสติ

คุณพีรวิทย์เป็นคนที่เราไม่รู้จัก ถ้าเขาทำให้ครอบครัวไตรสรณ์ทุกคนกลัวได้ เขาต้องมีอะไรไม่ธรรมดาแน่ ๆ

เธอเข้าถึงตัวเขาได้ ขอให้รักษาระยะห่างไว้ แต่ผูกสัมพันธ์ต่อไป เธอเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดใช่มั้ย ?"

"เข้าใจ !"

พี่ชายพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเป็นปกติ

"เข้าใจก็ดีแล้ว ! ถ้ายังงั้น กลับบ้านแล้วค่อยคุยกัน"

"พี่ใหญ่ !" เธอร้องทักก่อนที่พี่ชายจะตัดสาย "พี่ช่วยรักษาน้ายงค์เหมือนที่พี่รักษาแม่ของพี่ชลได้หรือไม่ ?"

"ฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถ ! แค่นี้ก่อนนะ"

พี่ชายตัดสายไปแล้ว เธอมองที่โทรศัพท์ แล้วบ่นเป็นภาษาจีนกลาง

"พี่เองนั่นแหละ ที่น่ากลัวกว่าเขาเสียอีก !"

จางซีฟ่งยังยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้เหม่อมองไปยังทุ่งโล่งข้างหน้า

ถ้าไม่ใช่ว่า เธอได้ยินด้วยหูตนเองจากพี่ชาย เธอคงไม่มีทางเชื่อว่า ลักษณะบุคลิกผู้อาวุโสที่เป็นปกติธรรมดาอย่างคุณพีรวิทย์ จะมีสิ่งใดที่ทำให้คุณมัณฑนากลัวได้

ความกังวลจนเริ่มกลายเป็นความเครียดที่มีมาตั้งแต่รุ่งเช้ามาถึงตอนนี้ ถูกปลดปล่อยไปได้อย่างมาก เพียงแค่การที่ได้รู้ว่าพี่ชายยินดีจะเป็นคู่คิดเพื่อคลี่คลายปมปริศนาของอาหลง แค่นี้ก็เกินคาดสำหรับเธอแล้ว

ไม่มีสิ่งใดที่พี่ชายต้องการทำ แล้วไม่สำเร็จ ....ไม่เคยมี !

*******************************************************************************************

อ่านหน้า > 2, 3
สั่งซื้อ นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก กดที่นี่