ตอน 25 หน้า 2

อารยะเมตตาจิต

สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท

ในศาลาธรรม.... วงสนทนากำลังคุยกันถึงเรื่องกิจกรรมต่าง ๆ ของกลุ่มอารยเมตตาจิต

ดูเหมือนฐิติชญาจะสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับความเป็นมา และ ความเป็นไปของสถานที่แห่งนี้

การได้รู้จักกับสถานที่แห่งนี้ ก็เสมือนกับการที่เธอได้รู้จักพิจิตรมากขึ้น เพราะชีวิตของเขา ถูกปลูกฝังอบรมทัศนคติจากที่แห่งนี้มาหลายปี ที่แห่งนี้หล่อหลอมให้ผู้ชายคนนี้ มีบุคลิก และ ทัศนคติแบบนี้

เลอหงส์กับนิคอนคู่กาย เดินกลับขึ้นมาบนศาลา สีหน้าผ่อนคลาย เมื่อสบตากับทอม เธอมีรอยยิ้มจาง ๆ ให้

ธรรม์ถามขึ้น

"ร้อนมั้ย ข้างนอกน่ะ ?"

หงส์สั่นหัว "ไม่ค่ะ ! หงส์ไปคุยที่ใต้ต้นไม้ ลมเย็นดี"

พิจิตรชี้มือไปที่ถนน

"โน่น ! คุณปั้นกำลังเดินมาแล้ว"

ทุกคนมองไปที่ถนนนอกศาลา

หญิงในวัยสี่สิบปลาย ๆ รูปร่างค่อนข้างผอม ผิวคล้ำ อยู่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีขาว ผ้าถุงสีเทา เดินจูงมือเด็กชายอายุประมาณไม่เกินสิบขวบ ตัวอ้วนจ้ำม่ำผิวคล้ำตรงมาที่ศาลา

ธรรม์ถามขึ้น

"นั่นคุณปั้นเหรอครับ ?"

พิจิตรพยักหน้า

"ครับ ! คุณปั้นกับน้องเพียร หลานน่ะครับ"

ทอมมองไปที่ เจ้าสำนัก หรือ ครูใหญ่ ของสถานปฏิบัติธรรมอารยะเมตตาจิต อย่างประหลาดใจ ผิดคาดกับสิ่งที่จินตนาการไว้

หญิงคนนี้ที่เธอเห็น อายุยังไม่มากเท่าที่คาดไว้ แต่งตัวธรรมดาเรียบง่ายเหมือนกับชาวบ้านคนหนึ่ง หรือ อาจจะเป็นเธอที่คิดไปเองว่า คนที่เป็นผู้นำปฏิบัติธรรม จะต้องมีวัยวุฒิ และ บุคลิกแบบที่คิดไว้เท่านั้น

ผู้นำของสำนักถอดรองเท้าแตะ แล้วเดินขึ้นศาลามาพร้อมกับเด็กชาย

คณะผู้มาเยือนต่างยกมือไหว้

คุณปั้นยกมือรับไหว้ แล้วก้มลงบอกหลานชาย

"น้องเพียรไหว้น้าทุกคนด้วย"

เด็กอ้วนยกมือขึ้นพนม

"หวัดดีครับ ลุงพีรวิทย์ น้าจิตร" แล้วก็หยุด เอามือลง

คุณป้ายกมือตีแขนหลานเบา ๆ

"นี่เจ้าอ้วนเอ๊ย ! ไหว้คุณน้าอีกสามคนด้วย"

เจ้าอ้วนยกมือขึ้นพนมอีกครั้ง

"หวัดดีครับ คุณน้า"

ธรรม์ หงส์ และ ทอม ยกมือรับไหว้

ไหว้เสร็จแล้ว เขาก็เดินจ้ำไปกลางศาลา แล้วก้มลงนั่งลงบนพื้น

คุณปั้นสั่นหัว

"วัน ๆ เอาแต่กิน ตรุษจีนปีหน้าเอาไปขายที่ตลาดซะเลยดีกว่า"

หลานอ้วนหัวเราะเสียงดังจากในศาลา

"ฮ่า ๆๆๆ ! ขายเลยป้า ! เพียรจะได้ไม่ต้องเรียนหนังสือ"

คำตอบของเด็กทำให้ทุกคนหัวเราะ

คุณปั้นผายมือเข้าไปในศาลา

"ไปนั่งคุยกันข้างในดีกว่า นั่งบนพื้นกันนะคะ"

เธอเดินอย่างกระฉับกระเฉงเข้าไปกลางศาลา คณะพรรคเดินตาม

เมื่อคุณปั้นเลือกทำเลที่เหมาะได้แล้ว ก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น สมาชิกที่เหลือ ทรุดตัวลงนั่งตาม

พีรวิทย์พูดขึ้นระหว่างค่อย ๆ ย่อตัว

"นี่ดีนะ ตอนนี้เข่าดีขึ้นแล้ว เป็นเดือนที่แล้ว นั่งบนพื้นแบบนี้ไม่ได้"

พิจิตรเริ่มแนะนำคณะผู้มาเยือนทั้งสามคน

"คุณธรรม์ เป็นผู้บริหารกลุ่มบริษัทไตรสรณ์ครับ"

คุณปั้นส่งยิ้มให้

"ได้ยินชื่อมาตั้งนานแล้วค่ะ ! ตัวจริงยังหนุ่มอยู่เลย"

ธรรม์เลิกคิ้ว

"ได้ยินชื่อผมเหรอครับ ?"

"ค่ะ ! คุณพีรวิทย์ กับ คุณปัญจะวิทย์ เคยเล่าให้ฟังบ่อย ๆ"

ธรรม์หันหน้าไปมองพีรวิทย์ พีรวิทย์พยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้

พิจิตรแนะนำต่อ

"นี่น้องหงส์ เป็นเพื่อนคุณธรรม์"

คุณปั้นพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้

"นี่ญา เป็นเพื่อนผม"

ครูใหญ่แห่งอารยะเมตตาจิตจ้องหน้าทอมสักพัก เธอเอียงคอ

"มาจากแดนเดียวกันเลยนะ !"

ทอมเลิกคิ้ว

"อะไรนะคะ ?"

คุณปั้นมองหน้าทอม แล้วหันไปมองหน้าพิจิตร

"เราสองคนน่ะ เคยอยู่ในแดนเดียวกันมาก่อน ได้รู้จักกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ"

ทอมหันไปมองหน้าพิจิตร เธอไม่เข้าใจคำว่า 'แดนเดียวกัน'

พิจิตรอธิบายทันที
"แดนเดียวกัน หมายถึง ในอดีตเคยเกิดร่วมชาติกัน รู้จักกันมาก่อน"

เมื่อเธอเข้าใจความหมาย ก็พยักหน้า

"ค่ะ ! พี่จิตรเคยให้ญาฝึกนั่งตามวิธีที่พี่จิตรบอก ญาก็รู้สึกว่าเห็นตัวเองกับพี่จิตรเหมือนกัน" แล้วเธอก็ขมวดคิ้ว

"คุณปั้นเห็นหน้าก็รู้เลยเหรอคะ ?"

ครูใหญ่พยักหน้า

"รู้สิ ! ถ้าเคยผูกพันมากับครูปั้นนะ ครูปั้นรู้ทันที"

ครูใหญ่เอื้อมมือมาแตะหลังมือของฐิติชญา ทอมไม่ดึงมือหนี เพียงแต่แปลกใจว่าครูปั้นกำลังจะทำอะไร

จากมือที่แตะ ก็เปลี่ยนเป็นกุมหลังมือของทอมไว้ ครูปั้นจ้องหน้า

"เรื่องที่ไม่สบายใจอยู่ รอไปก่อนนะ ถึงเวลาแล้วมันจะดีขึ้น"

เจ้าตัวเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจว่าคุณปั้นทักถึงเรื่องไหน

ครูใหญ่พูดต่อ

"... เรื่องคุณแม่น่ะ ! อย่าเพิ่งท้อหมดหวัง เราหาสิ่งอื่นที่ทำให้มีชีวิตชีวามาทำ อย่าทำหน้าน่าสงสารปลงตก แล้วชีวิตก็เหี่ยวเฉา ครูปั้นเองก็มีเรื่องให้ท้อใจอยู่ได้ทุกวัน แต่ถ้าเราคิดถึงอนาคตว่า ชีวิตเรายังเป็นประโยชน์กับคนอื่น ครูคิดแค่นี้ ก็มีกำลังใจ ตื่นเช้าก็ลุกขึ้นมาสู้ได้ต่อไป ธรรมะที่ถูกต้อง จะต้องสอนให้คนสู้ชีวิต ไม่ใช่สอนให้หนีโลกใบนี้

เราต้องสู้ปัญหา อย่าหนี ปัญหาจะไม่หายไปถ้าเราหนี"

ทอมมองหน้าพิจิตร เธอรู้สึกประหลาดใจที่สุด

พิจิตรก็มองหน้าแฟนสาว เขาไม่เคยรู้เรื่องเหล่านี้ แต่เขามั่นใจว่า สิ่งใดที่ครูปั้นทัก มันคือความจริงเสมอ

ทอมมองหน้าครูปั้น

"หนูมาเรียนที่นี่ด้วยได้มั้ยคะ ? หนูจะได้รู้ว่า จะสู้ด้วยวิธีไหน"

"สู้ หมายถึง เรามีภารกิจอื่น ๆ อะไร ก็ตั้งใจทำไป อย่าให้เรื่องแม่ มาทำให้เราหมดกำลังทำเรื่องอื่น"

ทอมพยักหน้า

"อ๋อ ค่ะ ! หนูมาเรียนที่นี่ได้มั้ยคะ ?" เธอถามย้ำอีกครั้ง

ครูใหญ่หันมองมาที่พิจิตร

"พิจิตรก็เล่าให้น้องเค้าฟังก่อนว่าที่นี่เรียนอะไร เรียนยังไง ถ้ายังสนใจก็มาเรียนได้นะ พิจิตรเค้าเป็นนักเรียนชั้นเอก เค้าอธิบายได้ดีที่สุด"

พิจิตรพยักหน้ารับ

"ครับ ! ผมจะเล่าให้ฟัง แล้วให้เค้าตัดสินใจอีกที"

ทอมยกมือไหว้

"ขอบคุณค่ะ ! ความรู้สึกมันบอกว่าชอบที่นี่ซะแล้ว"

คุณปั้นส่งยิ้มให้

"ไม่แปลกหรอกนะ ! ที่นี่ร่มเย็น คนหนีร้อนมา ก็มาพึ่งที่นี่ได้ เราต้อนรับทุกคนแหละค่ะ ถ้าเห็นว่าเราเป็นประโยชน์ต่อสังคม ก็มาช่วยกัน บางคนมาเอาอย่างเดียว แล้วก็ไป เราก็ไม่ว่ากัน"

ธรรม์ส่ายหน้า

"ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ พวกที่มาแต่จะเอา ไม่เสียสละกันบ้าง"

คุณปั้นมองหน้าธรรม์

"มนุษย์ก็อย่างนี้แหละค่ะ ! ความจริงใจหากันลำบากเนอะ ? แต่เราก็ต้องยืนอยู่ได้ด้วยตัวเรา งานเพื่อสังคมบ้านเมืองเราก็ต้องช่วย งานส่วนตัวที่มีคนจ้องจะเอาเรื่อง เราก็ต้องรับ"

พีรวิทย์พยักหน้าเพราะเข้าใจว่าคุณปั้นหมายถึงอะไร

"คุณปั้นโดนคุณไสยตลอดเวลา เวลาโดนทีก็จะป่วยที"

คณะผู้มาเยือนมีสีหน้าตกใจ

ทอมถามทันที

"ใครทำล่ะคะ ?"

คุณปั้นตอบ

"เราทำงานให้บ้านเมือง เราก็ต้องต่อสู้กับเรื่องพวกนี้เป็นปกติ ถ้าใครจะคิดว่าการปกป้องบ้านเมือง เป็นเรื่องง่าย ๆ หรือ ใครที่คิดว่า คุณไสยไม่มีจริงแล้ว ก็เป็นเรื่องของเค้า แต่ ครูปั้นจะขอบอกตรงนี้ว่า มันเล่นกันสกปรกอย่างนี้ตลอด การจะได้ปกครองบ้านเมือง เบื้องหลังเล่นคุณไสยกันทั้งนั้น

ครูปั้นถึงพูดย้ำว่า สังคมไทย จะต้องใช้ธรรมะครองเมือง ถึงวันนี้ยังไม่เป็นแบบนั้น แต่พวกเราจะต้องสร้างสังคมไทยให้เป็นแบบนั้น แล้วก็จะปราศจากมารร้ายต่าง ๆ"

ธรรม์ถามขึ้น

"งั้นพวกที่ทำพิธีสาปแช่งฝั่งตรงข้าม นั่นก็มีของกันจริง ๆ ใช่มั้ยครับ ?"

ครูปั้นพยักหน้า

"ใช่ ! เขาทำกันจริง ๆ มีกันจริง ๆ ใครสู้ไม่ได้ก็ถอยไป เอากันถึงตายก็มี แต่พวกเรา ถอยไม่ได้ ถ้าเราถอย ใครจะช่วยประเทศชาติ ? สังคมนี้จะไม่มีวันเป็นสังคมแห่งพระศรี ฯ ได้ จะเจ็บป่วยบ่อยขนาดไหน ครูปั้นก็ยอมนะ ครูเจ็บคนเดียว พวกเราไม่เกี่ยว พวกเราก็ทำหน้าที่ของพวกเราไป"

ธรรม์ถามต่อ ถือโอกาสเรียกคุณปั้นว่าครูปั้นตามที่เธอเรียกตนเอง

"ครูปั้นครับ แล้วช่วงนี้เหตุการณ์บ้านเมืองเราจะเป็นยังไงครับ ?"

ครูปั้นตอบทันที

"ไม่เกินหนึ่งปี อาจมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น พวกเราต้องช่วยกัน สนับสนุนคนดีให้มีอำนาจ แล้วอย่าปล่อยให้คนเลวมีพื้นที่ในสังคม"

คำสุดท้ายของประโยค ทำให้ทอมนึกถึงสำนวนในพ็อกเก็ตบุคของ 'สุริยนต์ ข่มจันทร์'

"ไม่ให้คนเลวมีพื้นที่ในสังคม ! พูดเหมือนกับหนังสือสังคมที่ไม่มีคุณเลย"

พีรวิทย์ถามขึ้น

"ได้อ่านเหมือนกันเหรอ ?"

ทอมพยักหน้า

"ค่ะ ! ได้อ่านแล้วค่ะ สุริยนต์นี่ก็เป็นศิษย์ที่นี่ใช่มั้ยคะ ?"

ครูใหญ่ตอบเอง

"ใช่ค่ะ ! คุณสุริยนต์เป็นฝ่ายเผยแพร่ธรรมะ เค้าก็ทำของเค้าไป นำธรรมะที่ถูกต้องไปเผยแพร่ให้ได้มากที่สุด เพื่อปลูกฝังให้ทุกคนมีความเป็นพระศรีอารย์อยู่ในตัว แต่ในหนังสือเค้าจะไม่ใช้คำว่าพระศรีอารย์ จะเขียนให้คนอ่านทั่วไป ใครอ่านก็ได้ ไม่จำกัดว่าศาสนาไหน แต่ใช้หลักเดียวกันกับที่นี่ คือ การอยู่เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น รักธรรมชาติ กล้าเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาสังคม.... ใช้หลักเดียวกัน"

"ในความคิดเห็นของครูปั้น นักการเมืองคนไหนครับ ที่ไว้ใจได้ ?" ธรรม์ถาม

ครูปั้นตอบ

"ที่ไว้ใจได้ที่สุด ตอนนี้ คือ ท่านรักชาติ ของพรรคไทยนิรันดร์ จะว่าดีที่สุด ก็ยังไม่ใช่ แต่ว่า ท่านถือว่า ไม่โกง มีพื้นฐานจิตใจที่ดี"

ทอมอมยิ้ม

"ดีจัง ! เป็นคุณลุงแอ๊ด"

คุณปั้นหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นปฏิกริยาของผู้มาเยือนสาวที่นั่งอยู่ข้างหน้าเธอ

"หนูรู้จักเหรอ ?"

"ค่ะ ! คุณรักชาติเป็นลุงของเพื่อนญาค่ะ ญาเคยได้เจอ น่ารักมาก น่าศรัทธา"

ทอมถามต่อ

"แล้ว ธรรมะครองเมืองนี่ มันเกี่ยวกับเรื่องอะไรคะ ? ต้องทำตัวยังไง ?"

คุณครูกระพริบตา กำลังเรียบเรียงวิธีอธิบายอย่างย่อ

"เอาสั้น ๆ ก่อนนะ ตอนนี้ศาสนาพุทธของเราน่ะ มาถึงจุดเสื่อม ตามที่พระพุทธเจ้าทำนายไว้ว่า เกินกึ่งพุทธกาลไป ศาสนาจะเริ่มเสื่อม พระสงฆ์ในพุทธศาสนา ก็จะสอนในสิ่งที่ผิด สิ่งที่ควรสอน ไม่สอน ไปสอนในสิ่งที่ไม่ควรสอน ความประพฤติของพระสงฆ์ก็จะเริ่มเป็นที่เบื่อหน่ายของฆราวาส ซึ่ง ถ้าพวกเราเห็นกันในทีวี ในหน้าหนังสือพิมพ์ตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับคำทำนาย...."

ผู้มาเยือนต่างพยักหน้ายอมรับ

".... ธรรมะครองเมือง คือ การเอาธรรมะที่ง่าย ๆ จากประชาชนธรรมดานี่แหละ ไม่ต้องบวชพระ แล้วเอาหลักสามัญสำนึก บวกกับหลักของธรรมชาติ มาใช้ในสังคม อย่างเช่น ความพอเพียงในการบริโภค ถ้ารู้จักเรื่องนี้แค่เรื่องเดียว ความเสียสละจะตามมาง่าย เพราะของมีเหลือไง ใช่มั้ยคะ ? ถ้ายังบริโภคแบบเดิม มันจะเหลืออะไรให้เสียสละ ?

บริโภคแบบไหนให้ถูกต้อง ถูกกับสุขภาพ เรามีสอน ตั้งแต่ให้รู้จักธาตุในตัวเอง ดิน น้ำ ลม ไฟ รู้จัก มีการทำสมาธิเพื่อบริหารร่างกาย คล้าย ๆ โยคะ แต่ไม่ใช่โยคะ เพื่อจัดการกับเส้นสายกระดูกของเรา

ทุกวันนี้ มีโรงเรียนส่งนักเรียนมาเรียนกับที่นี่วันเสาร์ อาทิตย์ ถือเป็นกิจกรรมนอกสถานที่ของชั้นเรียน เด็กได้ประโยชน์ กลับไปแนะนำพ่อแม่"

ทอมพูดขึ้น

"ฟังแล้วอยากเรียนซะเลยวันนี้"

ครูปั้นหัวเราะเบา ๆ

"ไว้มาเรียนวันที่มีสอนดีกว่าค่ะ วันนี้น่าจะไปชมสถานที่ให้ทั่วก่อน"

"ป้า ! เพียรหิวแล้ว !" เสียงหลานหุ่นลูกหมูตะโกนมาจากริมศาลา

คุณป้าหันไปดุหลานชาย

"ไม่มีมารยาทเลย น้องเพียร ! ข้าวเที่ยงก็เพิ่งจะกินมา นี่ยังไม่ทันบ่ายสาม หิวอีกแล้ว"

"เพียรจะกินไก่ทอด รีบพาไปเลย ป้า" เด็กตะโกนตอบ

พีรวิทย์พูดขึ้น

"งั้น ผมจะพาพวกเราไปชมสถานที่ต่อ เชิญคุณปั้นตามสบาย"

ทอมพยักหน้า

"งั้นญาไม่รบกวนแล้วค่ะ ! ญาคิดว่าเจอกันวันเรียนเลยดีกว่า"

ครูปั้นส่งยิ้มให้

"ค่ะ ๆ ! ได้เลย ! ถามพิจิตรเค้าละกัน ว่าที่นี่เรียนยังไง แล้วถ้าจะมาเรียน วันเสาร์หน้ามาได้เลยนะ"

ครูใหญ่ลุกขึ้นยืน ต่างคนต่างยันกายลุกขึ้น

ธรรม์ลุกยืนแล้ว เดินเข้าไปหาพีรวิทย์ที่กำลังใช้มือยันพื้น เขายื่นแขนให้

"เกาะผมดีกว่าครับ !"

พีรวิทย์จับแขนธรรม์ แล้วพยุงตัวเองลุกขึ้นยืน

"ขอบคุณมาก ผมนั่งขัดสมาธินานไม่ได้ เข่ามันจะตึง ลุกไม่ไหว"

ครูปั้นพูดขึ้น

"คุณพีรวิทย์ ต้องขยันฝึกท่าที่ครูปั้นให้ไปนะคะ ถ้าขี้เกียจฝึก สักพักนึง ก็จะกลับมาเป็นอาการแบบนี้อีก"

เด็กอ้วนเดินเชิดหน้าผ่านคณะทัวร์ หงส์ใช้หางตามองเด็ก แล้วยิ้มที่มุมปาก

หลานชายเจ้าสำนัก ยกมือชี้หน้าหงส์

"เพียรไม่ชอบน้าคนนี้ ! น้าคนนี้ร้าย !"

ครูปั้นชี้หน้าหลานชาย

"น้องเพียร ! หยุดเดี๋ยวนี้ ไปว่าคุณน้าเค้ายังงั้นได้ยังไง ? ขอโทษคุณน้าเค้าซะ"

ช่างภาพสาวเปิดฝาเลนส์ ยกกล้องขึ้นเล็ง โฟกัสหน้าเด็กอ้วน แล้วกดชัตเตอร์

'แช๊ะ แช๊ะ แช๊ะ !"

"มาถ่ายรูปเพียรทำไม ? ใครอนุญาต ?" เด็กเริ่มโวยเสียงดัง

"น้องเพียร !" เสียงคุณป้าตวาดดังขึ้น "ไปเลย ! แกจะรีบไปกินไก่ ก็รีบไป !"

ได้ยินประโยคนี้ หลานชายมีรอยยิ้ม แล้วรีบวิ่งไปที่บันได สวมรองเท้าแตะ แต่ยังไม่ลืมที่จะเงยหน้าขึ้นมามอง สายตาจ้องมาที่เลอหงส์

เด็กอ้วนยกมือชี้

"น้าคนนั้น ! ระวังตัวไว้ !"

แล้วหันหลัง วิ่งลงบันไดไป

หงส์หัวเราะหึ ๆ

ครูปั้นส่ายหัว

"โตแล้วมันจะใช้การได้มั้ยเนี่ย ?"

พิจิตรพยักหน้า

"ใช้ได้สิครับ ! น้องเพียรเค้ากตัญญู รักคุณป้า เด็กก็เป็นอย่างนี้แหละครับ โตขึ้นนิสัยก็เปลี่ยนเอง"

พีรวิทย์พูดขึ้น

"งั้นพวกเราก็ลาคุณปั้นตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมจะพาไปดูนาข้าว"

ผู้มาเยือนยกมือไหว้ลาครูใหญ่ แล้วเดินลงจากศาลา

หงส์ก้มลงใส่รองเท้า ธรรม์พูดกับเธอเบา ๆ

"เด็กคนนั้น นิสัยแย่จริง ๆ"

หงส์ยิ้ม

"หงส์ไม่ถือสาหรอกค่ะ ! วันนี้ดูท่าทางคุณพีรวิทย์ดีใจที่พวกเรามาเยี่ยม"

ธรรม์เลิกคิ้ว พยักหน้าช้า ๆ

"อือ ใช่ ! ผมไม่เคยรู้สึกใกล้ชิดกับคุณพีรวิทย์เท่านี้มาก่อน หายเกร็งไปเยอะ ดูแล้วไม่ใช่คนที่เข้าถึงได้ยาก"

หงส์ยักไหล่ ไม่มีคำตอบ

ฐิติชญามีใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขได้เด่นชัดกว่าทุกคน เธอขยับเท้าให้รองเท้าเข้าที่ แล้วชี้ไปที่ทุ่งนา

"วิวสวยจังเลย ! น้องหงส์ถ่ายไว้หรือยัง ?"

ช่างภาพพยักหน้า

"ได้ ๆ ! จะถ่ายเดี๋ยวนี้แหละค่ะ พี่ทอมไปเป็นนางแบบสิคะ"

ทอมคว้ามือพิจิตร

"มา... นักเรียนชั้นเอก ! มาถ่ายรูปด้วยกัน"

เธอคว้ามือแฟนหนุ่มเดินไปที่ริมทุ่ง หงส์ถอดฝาปิดเลนส์กล้อง เสียบในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง แล้วเดินตามไป

ธรรม์เดินเข้าไปหาพีรวิทย์

"ไปถ่ายรูปกันมั้ยครับ คุณพีรวิทย์ ?"

พีรวิทย์ยกมือแตะไหล่เขา

"ได้ ! ไปสิ ! ไปด้วยกัน"

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ธรรม์ได้ยินเสียงเรียกเข้าเป็นเสียงของสายพิเศษที่เขาตั้งไว้

"เชิญคุณพีรวิทย์เลยครับ ผมต้องรับสายนี้ก่อน"

พีรวิทย์พยักหน้า แล้วเดินตรงไปที่ริมทุ่ง

หน้าจอโทรศัพท์ขึ้นชื่อ วาทิณี .... เลขาของคุณมัณฑนา

"คุณแป๋ว สวัสดีครับ !"

"สวัสดีค่ะ คุณธรรม์ ! ขอโทษที่โทรรบกวนวันหยุด คุณธรรม์ลงใน อีคาเลนเดอร์ ว่าวันนี้นัดคุณพีรวิทย์ที่โคราช"

ธรรม์นึกสักอึดใจ ก่อนตอบ

"อ้อ... ใช่ครับ ! นี่ผมก็อยู่กับคุณพีรวิทย์ จะคุยกับคุณพีรวิทย์เหรอครับ ? เดี๋ยวผมไปตามให้"

"ไม่ใช่ค่ะ ! คุณมัณ ฯ เห็นในอีคาเลนเดอร์ ก็โทรมาถามแป๋วว่า รู้มั้ยว่าคุณธรรม์ไปพบคุณพีรวิทย์ทำไม มีเรื่องอะไร แล้วทำไมเธอไม่รู้ ? แป๋วก็ไม่รู้จะตอบยังไง"

ธรรม์ขมวดคิ้ว

"หือ... ! นี่มันไม่ใช่เรื่องงาน มันเป็นวันหยุดนี่"

"ค่ะ ! แป๋วรู้ แต่แป๋วพูดยังงั้นกับคุณมัณไม่ได้ น้ำเสียงคุณมัณเหมือนจะอารมณ์เสีย แป๋วถามว่า งั้นให้แป๋วโทรไปถามให้เอามั้ย เธอก็บอกว่าไม่ต้อง แป๋วก็คิดอยู่นานว่าจะยังไง เลยคิดว่า โทรมาบอกคุณธรรม์ก่อนดีกว่า"

"เอ... ! มีอิชชู่อะไรกัน ?" เขารำพึงด้วยน้ำเสียงที่เบา

"ความจริง คุณธรรม์ไม่จำเป็นต้องลงในอีคาเลนเดอร์ก็ได้นี่คะ เพราะมันเป็นวันหยุด ไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้"

"ผมลงไว้เป็นรีไมน์เดอร์ให้คุณพีรวิทย์รู้ว่าเรามีนัดกัน ไม่ได้คิดว่าลงแล้วจะเป็นเรื่อง เดี๋ยวผมโทรหาอามัณเองดีกว่า"

เสียงแป๋วร้องดัง

"โอ๊ะ ๆๆๆ ! อย่าค่ะ ! เพราะเธอบอกแล้วว่าไม่ต้องโทรตามคุณธรรม์ คุณธรรม์หาเวลาอื่นไปเคลียร์ดีกว่า อย่าโทรไปตอนนี้ เดี๋ยวแป๋วก็ตายหรอก"

ธรรม์หัวเราะเบา ๆ

"ครับ ๆๆ ! โอเค ! ผมไม่โทร ขอบคุณคุณแป๋วที่โทรมาบอก"

"ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ! คุณธรรม์แอคเซสเข้าระบบ ไปลบอีคาเลนเดอร์ออกก่อน คนอื่นที่ยังไม่เห็นจะได้ไม่ต้องเห็น คุณธรรม์น่าจะรู้อยู่แล้วว่า อะไรที่จะต้องไปถึงคุณพีรวิทย์ กับ คุณปัญจวิทย์ ต้องผ่านคุณมัณก่อนทุกครั้ง"

"โอเค ! ขอบคุณที่โทรมาบอกครับ"

คำถามที่เคยติดค้างไว้ในใจลึก ๆ กลับมาเป็นปัญหาในปัจจุบันจนได้

ทำไม ?... ทำไม อามัณที่ไว้ใจเขาให้วางกลยุทธ์แทบจะทุกอย่างให้กับกลุ่มไตรสรณ์ ถึงไม่อธิบายให้เขาฟังถึงความสำคัญ หรือ ความนัย หรือ ความลับ หรือ อะไรก็แล้วแต่ ที่เกี่ยวกับ สองกรรมการอาวุโสของแก่งอุดม ?

ทั้งสองท่าน มีบุคลิกแสนจะธรรมดา ไม่ได้เจ้ายศเจ้าอย่างมากมาย แต่ทำไมอามัณต้องแสดงท่าทียำเกรงอย่างเห็นได้ชัด ? ทำไมคนของไตรสรณ์เกือบทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคุณเอก คุณพล จะต้องมีท่าทีแปลก ๆ เมื่อได้ยินชื่อของสองพี่น้องแก่งอุดม ?

ธรรม์เดินเลียบศาลามาอีกด้านหนึ่ง เขากดโทรศัพท์หาคุณอา

"อาชด ! ธรรม์นะครับ ! อาว่างมั้ย ? ธรรม์ถามอะไรหน่อยสิครับ"

"ได้ พอคุยได้ มีอะไรว่ามา"

"อาอยู่กับอามัณหรือเปล่า ?"

"เปล่า ! อามัณไปโรงพยาบาลเยี่ยมคุณเอกน่ะ"

"อ้าว ! คุณเอกไม่สบายเหรอครับ ? เป็นอะไรหนักมั้ย ?"

"ไม่น่าจะหนักนะ คงแค่ไปเช็คสุขภาพ ธรรม์มีอะไรว่ามา"

"อาชด ผมถามหน่อยเถอะ ครอบครัวไตรสรณ์ทำไมต้องกลัวคุณพีรวิทย์ กับ คุณปัญจวิทย์ ?"

เสียงคุณอาตอบมาอย่างเรียบ ๆ

"ให้อาตอบตรง ๆ นะ อาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม"

"แสดงว่า อาชดก็สังเกตได้เองเหมือนกัน ใช่มั้ยครับ ?"

"ก็.... อาคิดว่า มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของเค้า อาก็ไม่เคยถาม ถ้าอามัณเค้าอยากจะพูด เค้าก็คงพูด ถ้าไม่พูด ก็คงไม่สำคัญนัก แล้วอาก็ไม่รู้จะถามใครเหมือนกัน"

ธรรม์พยักหน้า

"ใช่ ! เพราะทุกคนของไตรสรณ์ก็เป็นเหมือนกันหมด คุณเอก คุณพล ก็เป็นเหมือนกัน ผมคงต้องหาคำตอบเอง"

"ธรรม์มีอะไรเล่าให้อาฟังได้มั้ย ? ถ้าอาช่วยได้อาจะช่วย"

"ครับ ! ไว้ผมกลับถึงบ้านก่อน แล้วจะโทรหาอาชดอีกครั้ง"

ธรรม์ถอนหายใจยาว แล้วเดินกลับไปร่วมกับคณะที่ริมทุ่ง

การถ่ายรูปเป็นที่สนุกสนานของทั้งคณะ ต่างสลับกันยืนหามุมสวย หามุมหลบแดด ต่างคนต่างยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดภาพ

***************************************************************************************

นาข้าวที่ยังมีน้ำ เป็นจุดแวะพักถ่ายรูปของคณะ

ตากล้องสาวมีอารมณ์ที่ปลดปล่อยมากกว่าชั่วโมงที่ผ่านมา ลมพัดเอื่อย ๆ ทำให้เกิดความรู้สึกสนุกที่ได้เลือกมุมสวย ๆ ของท้องนาเก็บไว้เป็นที่ระลึก

แต่โชเฟอร์รถออดี้ กลับมีอารมณ์เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม เขาเริ่มเหม่อมองไกลเพื่อพักสายตา แต่ความคิดไม่ได้พักไปด้วย สมองขบคิดแต่ปัญหาที่เขาไม่เข้าใจ

ศาลเล็ก ๆ ปลายนาเป็นที่เตะตาของฐิติชญา เธอค่อย ๆ เดินเลาะบนคันดินเลียบนาไปยังศาลนั้น

พิจิตรพูดกับหงส์ พร้อมยื่นมือไปขอกล้อง

"ผมถ่ายให้บ้างมั้ยครับ ? คุณหงส์จะได้มีรูปตัวเองในกล้อง"

หงส์พยักหน้า

"ได้ค่ะ ! ความจริงหงส์ไม่ค่อยชอบให้มีรูปตัวเองในกล้องเท่าไหร่ ไม่ต้องเน้นที่หงส์มากนะคะ"

เธอถอดสายสะพายกล้องออกจากคอ แล้วยื่นนิคอนให้เขา

"ซูมเข้าออกอย่างเดียวก็พอนะคะ หงส์ปรับความไวสำหรับถ่ายในที่แจ้งไว้แล้ว"

พิจิตรรับกล้องมาไว้ในมือ

"คุณหงส์ถ่ายกับคุณธรรม์หน่อยสิครับ ผมถ่ายให้"

หงส์พยักหน้า เดินเข้าไปใกล้ธรรม์

"เอ็นจอยธรรมชาติอยู่เหรอคะ ? ท่าทางอิน ถ่ายรูปกับหงส์หน่อยนะคะ"

ธรรม์ส่งยิ้มให้ แล้วขยับตัวเข้าไปชิดกับนางแบบ

พิจิตรกดชัตเตอร์สองสามครั้ง แล้วเรียกไก๊ด์อาวุโสเข้าไปร่วมถ่ายด้วย

ธรรม์ตะโกนถามขึ้น

"ญาไปไหนแล้วครับ ? เรียกญามาถ่ายด้วยกันสิ"

พิจิตรหันมองซ้ายขวา เห็นแฟนสาวยืนอยู่ที่ปลายนา เขาพยักหน้า

"เดี๋ยวผมไปตามมา คืนให้คุณหงส์ก่อน" เขายื่นกล้องส่งคืนให้เจ้าของ

พิจิตรเดินไปตามคันดิน บางจุดก็มีน้ำเจิ่งนอง ต้องเดินเลี่ยง

เมื่อเขาเดินถึงบริเวณใกล้ปลายนา ทางเดินเป็นพงหญ้าที่ราบไปด้วยรอยเท้า ยาวไปถึงข้างหน้าศาล

บนหญ้าที่ราบเป็นทาง มีงูสีดำเลื่อมขนาดกลางตัวหนึ่งนอนขดอยู่เป็นวงกลม เขาหยุดยืนอยู่ห่างจากจุดนั้นประมาณห้าก้าว แล้วชะเง้อคอมองไปที่ศาล แฟนสาวกำลังนั่งคุกเข่าอยู่หน้าศาล

"ญา ! ญาเดินเข้าไปได้ยังไง ตรงนี้มีงู เมื่อกี๊เห็นหรือเปล่า ?"

งูที่นอนอยู่กลับชูคอขึ้น เริ่มคลายขด เลื้อยเข้ามาหาเขา

พิจิตรถอยกรูด

"ญา ! ญา... ระวังนะ ตรงนี้มีงู !" ปากตะโกนเรียกแฟน แต่สายตาจับจ้องที่เจ้างูตัวดำที่กำลังเลื้อยเข้ามา

"งูอะไรไม่กลัวคน ?" เขาอุทานออกมาด้วยความแปลกใจที่งูเลื้อยตรงเข้ามาหา แทนที่จะเลื้อยหนี

อสรพิษหยุดเลื้อย แต่กลับชูคอ แลบลิ้น พิจิตรก็หยุดถอย ยืนจ้องอยู่ ปากก็ตะโกน

"ญา ! ญาอย่าเดินกลับมาทางนี้ มีงูอยู่"

จู่ ๆ เจ้างูใจกล้า ก็เลื้อยอย่างว่องไว ผลุบเข้าพงหญ้าข้างทาง เลื้อยหายไปอย่างรวดเร็ว

"พี่จิตร ! ทำไมมายืนอยู่ตรงนั้น ?"

พิจิตรเงยหน้าขึ้นมอง แฟนสาวกำลังเดินกลับมาตามทางเดินนั้น เขาโบกมือ

"ญา หยุดก่อน ! มีงู มันเลื้อยหายไปแล้ว ดูดี ๆ ก่อน มีทางอื่นให้เดินมั้ย ?"

เธอมองซ้ายขวา

"ไม่มีแล้ว ! งั้นรีบเดินดีกว่า"

พูดแล้วเธอก็รีบจ้ำเดินอย่างเร็วมาจนถึงตัวเขา พิจิตรคว้าข้อมือเธอ แล้วรีบย่ำเท้าออกมาจากทางเดินนั้น

จนถึงคันดิน เขาหยุดเดิน

"โอ้... ! พี่จิตร ! ฝนตกหรือยังไง ? ตัวพี่เปียกเหมือนไปตากฝนเลย" ทอมพูดไปหัวเราะไป

เขาก้มลงมองเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ลำแขนทั้งสองยังมีเม็ดเหงื่อผุดอยู่เต็มไปหมด

"ไอ้งูเมื่อกี๊ เล่นเอาใจหายหมด มันเลื้อยเข้ามาหาพี่"

ทอมพยักหน้าหงึก ๆ

"มีงูเยอะไม่แปลกเลย ตรงโน้นศาลอะไรรู้มั้ย พี่จิตร ?"

"ไม่รู้ ! พี่ไม่เคยไปตรงนั้นหรอก"

"ศาลพญานาค ! งูเลยเยอะไง"

พิจิตรเอามือปาดเหงื่อที่ลำคอ

"แล้วญาเดินไปทำอะไรตรงนั้นล่ะ ?"

"ญาเห็นศาลก็เลยเดินมาดู พอเดินไปถึงก็เห็นว่าเป็นรูปปั้นพญานาคเล็ก ๆ อยู่ข้างใน ญาก็ไปยกมือไหว้"

"รีบเดินกลับไปเถอะ เดี๋ยวงูโผล่มาอีก"

********************************************************************************************

1< อ่านหน้า > 3
สั่งซื้อ นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก กดที่นี่