| |||||||
| |||||||
สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประตูรั้วกลับเข้าบ้านในชุดจ็อกกิ้ง เสื้อกล้ามสีขาวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ สิ่งที่น่าแปลกใจสำหรับเขา คือ รถยนต์เล็กซัสประจำตำแหน่งของภรรยา จอดอยู่ที่โรงรถในตัวบ้าน นั่นหมายความว่า คืนนี้ ภรรยาคงเลือกที่จะนอนค้างที่บ้านนี้ เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้หน้าชานบ้าน แล้วจัดการถอดรองเท้ากีฬาออก ที่ห้องรับแขก ภรรยาสวมแว่นสายตา กำลังนั่งดูเอกสารอยู่ที่โต๊ะรับแขก เธอเงยหน้าขึ้นมองออกมาที่ชานบ้าน "ไฮ ด็อกเตอร์ ! กลับแต่หัววันเลยเหรอคะ ?" เธอร้องทักมาจากในบ้าน สามีตอบกลับ "ใช่ ! แล้วยูล่ะ วันนี้มาค้างที่นี่เหรอ ?" "อ่าฮะ ! มัณต้องใช้เวลาเงียบ ๆ อ่านเอกสารปึกนี้ให้จบ เลยคิดว่าจะมาอ่านที่นี่น่าจะดีกว่าบ้านใหญ่" สามีเปิดประตูบ้านเข้ามา อีกมือถือรองเท้ากีฬา "ดีเลย ! พี่มีเรื่องจะเล่าให้ยูฟัง" มัณฑนาเลิกคิ้ว "เรื่องอะไรเหรอคะ ?" "เดี๋ยวขอพี่ไปอาบน้ำก่อน ยูกินอะไรหรือยัง ? เราออกไปดินเนอร์กันมั้ย ?" ภรรยาสั่นหัว "ไม่เอาค่ะ ! วันนี้ไม่ได้ มัณทานแค่สลัดก็พอ คืนนี้ต้องอ่านเอกสาร ด็อกเตอร์ไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ" ดร.ระชดเปิดตู้เก็บรองเท้า สอดรองเท้ากีฬาไว้ในที่ประจำ แล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน เอกสารบนโต๊ะถูกแบ่งเป็นสองกอง กองหนึ่งเป็นสรุปผลการประชุมผู้บริหารของบีทีพร็อพเพอร์ตี้ อีกกองหนึ่งเป็นงบการเงินรวมทั้งหมดของกลุ่มบริษัท บีทีพร็อพเพอร์ตี้เป็นธุรกิจที่กำลังอยู่ในขาขึ้น การสปริงออกตัวของไชน่าโอเวอร์ซีในประเทศไทยครั้งนี้ นับว่าโดดเด่น และ เป็นที่จับตามองของผู้คนในวงการ สร้างความเชื่อมั่น และ ชื่อเสียงกลับมาสู่ไตรสรณ์ไม่ใช่น้อย แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน เพียงแค่อุทกภัยปลายปีที่แล้ว กลับทำให้ธุรกิจอื่น ๆ ของไตรสรณ์ได้รับผลกระทบเป็นโดมิโนอย่างนอกเหนือความคาดคิด การเพิ่มทุนของบีที ฯ เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยที่กลุ่มไตรสรณ์ไม่สามารถใส่เงินลงไปร่วมได้ ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มไตรสรณ์ลดลงมาจากเดิม ส่งผลให้ตำแหน่งในคณะกรรมการบอร์ดของไตรสรณ์ในบีที ฯ ถูกลดจำนวนลง ส่วนกิจการอื่น ๆ ที่อยู่ในตลาดซึ่งมีภาวะกำลังจะอิ่มตัว ก็จำเป็นต้องหาลู่ทางการแตกธุรกิจไปหาวงจรใหม่เพื่อสร้างกำไรจากการลงทุนที่มากขึ้น เตรียมรอทดแทนธุรกิจอื่นที่จำเป็นต้องสละจากวงการ เพราะกำไรต่อการลงทุนที่ต่ำลง การเปลี่ยนกลยุทธ์ของกลุ่มธุรกิจไตรสรณ์ใหม่ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำให้เสร็จภายในไตรมาสที่สองของปีนี้ มัณฑนาใช้เวลาครึ่งหนึ่งเพื่ออ่านเอกสาร แล้วใช้เวลาอีกครึ่งหนึ่ง เพื่อคิดวางกลยุทธ์ไปพร้อมกัน นี่เป็นนิสัยที่ติดตัวเธอตั้งแต่สมัยเพิ่งเข้าทำงานที่กลุ่มบริษัทไตรสรณ์ใหม่ ๆ เธอจะจดความคิดต่าง ๆ ลงในสมุดบันทึก แล้วเก็บไว้ รอเวลาผ่านไปสักช่วงหนึ่ง แล้วกลับมาอ่านแนวคิดทั้งหมดใหม่อีกครั้ง ทุกครั้งที่เธอทำแบบนี้ เธอจะได้ความคิดใหม่ ๆ ที่ตกผลึกขึ้นมาจากความคิดของเธอเองที่ได้บันทึกก่อนหน้านี้ ไม่เหมือนกับธรรม์ หลานชายของสามีที่เป็นนักวางแผนกลยุทธ์ชั้นยอด ธรรม์จะมองประเด็นต่าง ๆ ตั้งแต่ต้น ยันท้ายได้คงที่เหมือนเดิม ไม่ว่าเขาจะจดมันไว้ หรือ ไม่จดมันไว้ แต่สุดท้าย เมื่อเวลาผ่านไป ผลปรากฏว่า สิ่งที่เขามองไว้ตั้งแต่ครั้งแรกนั้นกลับใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุดอยู่เสมอ ดร.ระชดอยู่ในชุดเสื้อยืดขาวบาง กางเกงนอนขายาว เดินลงมาจากบันไดชั้นบน "ยูไม่ซื้อแอลซีดีจอแบนมาเป็นโปรเจ็คเตอร์ติดกำแพงล่ะ ? เวลาเทียบงบการเงินจะดูง่ายกว่าดูบนกระดาษ" มัณฑนาเหลือบมองสามีแล้วยิ้ม "ด็อกเตอร์จะทำให้ที่บ้านนี้กลายเป็นที่ทำงานอีกแห่งเหรอคะ ?" เขาเดินมาหยุดอยู่ที่หัวโต๊ะ "ก็ไม่แปลกนะ ถ้าไอ้จอนั่น มันทำให้ยูอยู่กับที่บ้านนี้ได้" เขาพูดแล้วก็หัวเราะ เป็นการหยอกเย้าภรรยา มัณฑนาสั่นหัว เธอเปลี่ยนเรื่องด้วยการตั้งคำถาม "สุดท้ายแล้ว ด็อกเตอร์ว่าธรรม์เค้าจะเลือกผู้หญิงคนไหน ?" คำถามนี้เรียกรอยยิ้มจากสามีได้ "ถึงเวลาที่หลานพี่ต้องแต่งงานแล้วเหรอ ? ถ้าผู้จัดการครอบครัวถามแบบนี้ สงสัยคงได้เรื่อง ! เดี๋ยว ขอพี่ไปหยิบน้ำในตู้เย็นก่อน" เขาเดินตรงเข้าไปในเขตห้องครัว เปิดตู้เย็นแล้วหยิบขวดน้ำเปล่า พร้อมแก้วกลับมา ภรรยาพูดต่อ "มัณไม่เคยถามธรรม์เค้าตรง ๆ หรอก ว่าเค้าชอบใคร หรือ วางแผนแต่งงานเมื่อไหร่ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้ามีคู่ครองที่เหมาะสมกัน แต่งแล้วก็จะทำให้ชีวิตสมบูรณ์ขึ้น ถ้ายังไม่ถูกใจ ก็ยังไม่ต้องแต่ง ดีกว่าแต่งกับคนที่ไม่เหมาะสม แก้ลำบากกว่า" สามีวางขวดน้ำ และ แก้วไว้บนโต๊ะ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ "คนไหนล่ะ ที่ดูไม่เหมาะสมกับธรรม์ ?" "เปล่าหรอก ! มัณไม่เคยรู้หรอกว่าธรรม์เค้ามีใครบ้าง จะมีพอดูออกบ้างก็คนสองคนที่เป็นไปได้ว่าเค้าจะชอบ แต่อย่าให้ฟันธงเลย เดี๋ยวได้หน้าแตกกัน เรื่องแบบนี้ให้เจ้าตัวเค้าบอกเองดีกว่า" "ยูจะฟันธงให้ใคร ? ก็คนเดียวแหละมั้งที่ยูรู้ จะมีซักกี่คนที่ยูเคยเห็น นอกจากน้องหงส์ ?" ภรรยาพยักหน้า "ถ้าเป็นเด็กคนนี้ มัณเชียร์ขาดใจเลย คนนี้เป็นเด็กที่ใกล้เคียงกับคำว่าเพอร์เฟ็คที่สุด สำหรับธรรม์" "เค้าเป็นญาติกับกิจบูรณาไม่ใช่เหรอ ?" มัณฑนาขมวดคิ้ว "ไม่แน่ใจเหมือนกัน คุณหญิงเจนบอกว่าเป็นเหมือนญาติ แล้วท่าทางก็ไว้ใจน้องคนนี้มาก ถ้าธรรม์เกิดชอบพอกับน้องคนนี้จริง ๆ ทุกอย่างคงลงเอยด้วยดี" "ตกลงจะกลับมาเชื่อมกับกิจบูรณาแล้วใช่มั้ย ?" ดร.ระชดรู้เรื่องภายในของครอบครัวไตรสรณ์พอสมควร จากปากของภรรยา แต่เขาก็ยังวางตัวเองไว้ในฐานะผู้รับฟังเท่านั้น เขาไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว และ ให้ความเห็นกับกิจกรรมใด ๆ ของครอบครัวไตรสรณ์แม้เพียงสักครั้ง สิ่งที่เขามีอยู่ในใจ คือ คำถามบางอย่างที่ติดค้างในใจ ซึ่งหากมีคำตอบ ก็จะทำให้เขาเลิกคลางแคลงใจ หรือ หากไม่มีคำตอบ ก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนใด ๆ ให้กับเขา มัณฑนามองหน้าสามี เธอพลางนึกทบทวนกลยุทธ์หมากนี้ในใจ "ด็อกเตอร์ว่าแปลกมั้ย ? เราเคยหวังกันว่า รุ่งจะเป็นตัวแทนที่เชื่อมพวกเรากับกิจบูรณาให้กลับมาแน่นแฟ้นกว่าเก่า แต่ตอนนี้รุ่งก็ได้ไปทำงานกับกิจบูรณาแล้ว แต่เรากลับไม่รู้สึกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกิจบูรณากับไตรสรณ์ แน่นแฟ้นมากขึ้น" สามีพยักหน้า "นั่นเป็นเพราะ จริง ๆ รุ่งไม่ได้รู้สึกว่าเค้าเป็นคนของเรา !" ภรรยาจ้องหน้าสามี "ทำไมด็อกเตอร์พูดยังงั้นล่ะค่ะ ?" "พี่บอกยูตรง ๆ พี่มองจากคนที่ เท้าข้างนึงเป็นคนนอก เท้าข้างนึงพี่เป็นคนใน รุ่งไม่ได้โตมาในบ้านไตรสรณ์ ความคิดเขา ไม่ได้ถูกไตรสรณ์โอเรียนเทชั่นมา ถึงแม้สายเลือดเขาคือคนในไตรสรณ์ แต่ทัศนคติของเขาคือคนนอกแท้ ๆ เดิมทีรุ่งไม่เคยมีส่วนร่วมรู้เห็นในกิจการของไตรสรณ์อยู่แล้ว ตอนนี้เค้าไปอยู่กับกิจบูรณา เค้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องมารับรู้เรื่องของธุรกิจของไตรสรณ์อีก ถ้ายูอยากให้เค้าเป็นฑูต ยูต้องเล่าให้เค้าฟัง สร้างให้เค้ามีส่วนร่วม ให้เค้ารู้สึกว่าเค้าคือไตรสรณ์ แล้วเค้าจะเข้าใจว่าเค้ามีหน้าที่ช่วยไตรสรณ์ยังไง" ดร.ระชด ใช้คำศัพท์ที่เป็นที่รู้กันระหว่างสามีภรรยา โอเรียนเทชั่น คือ การปลูกฝังทัศนคติ มัณฑนาพยักหน้ารับฟัง "หรืออีกวิธีหนึ่งนะคะ คือ การส่งคนที่มีทัศนคติอยู่แล้ว ไปเป็นฑูตแทน เช่น ธรรม์" สามีมองหน้าภรรยากลับบ้าง เขาพอคาดเดาแนวทางนี้ออกมาสักพักใหญ่แล้ว "ยูอยากให้ธรรม์ได้แต่งงานกับน้องผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ ใช่มั้ย ?" ยอดกุนซือแห่งไตรสรณ์ กลับสูดหายใจเข้าอย่างช้า ๆ แล้วค่อยตอบ "มัณอยากตอบว่าใช่ แต่มัณแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกได้ มัณจะไม่ลงไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของธรรม์เด็ดขาด ถ้าธรรม์ไม่เป็นฝ่ายออกปากก่อน มัณว่าเรื่องนี้เปราะบางเหมือนกัน มัณสรุปสั้น ๆ ว่า มีแค่สองทางคือ ถ้าธรรม์ชอบผู้หญิงคนนี้จริง ๆ ต้องถึงขั้นแต่งงานเลย หรือ ถ้าไม่มั่นใจว่าชอบมากขนาดนั้น ต้องไม่ยุ่งกับเค้าเลย" "ยูหมายถึงยังไง ถ้าชอบต้องแต่ง ไม่ชอบอย่ายุ่ง ? เค้าจะค่อย ๆ คบดูใจกัน ถ้าไม่ถูกใจ ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่โอเค ยูจะไปห้ามเค้าได้ยังไง ?" "ไม่ควร ! ไม่ควร ! น้องคนนี้ไม่ใช่คนอื่น เค้าเป็นคนของกิจบูรณา ไม่ใช่หญิงทั่วไปที่จะลอง ๆ จีบดู คบกันแล้วก็เลิกกัน มันกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวแน่ ๆ" คราวนี้สามีพยักหน้าเข้าใจ "อือ...! แล้วยูบอกว่ายูไม่เข้าไปก้าวก่าย แล้วถ้าเกิดตอนนี้ธรรม์คบกับเค้าไปถึงไหนแล้ว ยูไม่รู้ มารู้อีกที เลิกกันไปแล้ว มองหน้ากันไม่ติดไปแล้ว ยูจะทำไง ?" ภรรยาพยักหน้า "นี่แหละ ปัญหาที่มัณกำลังคิดอยู่ !" เธอรวบเอกสารบนโต๊ะ แล้วกวาดไปกองไว้ที่ข้างหนึ่ง เอาปากกาวางทับไว้ "แล้วด็อกเตอร์ล่ะคะ ? ไหนบอกมีอะไรจะเล่าให้ฟัง ?" ที่ปรึกษารัฐมนตรี ฯ ยกน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้ว แล้ววางแก้วลงบนโต๊ะ "พี่ไม่ได้ไปทำงานที่กระทรวงได้ซักพักแล้ว น่าจะเกือบเดือนได้แล้ว" ภรรยามีสีหน้าประหลาดใจ "อ้าว ! ทำไมล่ะคะ ?" "หัวหน้าพรรคยุบคณะที่ปรึกษาตั้งแต่เดือนที่แล้ว บอกว่าจะแต่งตั้งใหม่ แต่นี่ก็เลยเดือนมาแล้ว ยังไม่มีวี่แวว" "แล้วท่านรัฐมนตรีไม่เล่าให้ด็อกเตอร์ฟังเหรอคะ ว่าทำไม ?" ที่ปรึกษา ฯ เอนหลังพิงพนัก แล้วพยักหน้า "เล่าสิ ! คุณถาวรบอกว่าท่านหัวหน้าพรรคเจอเรื่องการเมืองเล่นงาน สมัยที่ท่านมาคุมกระทรวงสาธารณสุข พอท่านกลับมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็มีการนำหลักฐานสมัยก่อน ที่ท่านมีส่วนรู้เห็นเรื่องความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อเวชภัณฑ์ยาทั่วประเทศ" "เกมส์การเมืองล่ะมั้งคะ แล้วหลักฐานมีมูลเหรอคะ ท่านถึงต้องเป็นกังวล ?" สามีพยักหน้าช้า ๆ "มี ! อันนี้พูดให้ยูฟังนะ ยูก็คีพทูยัวร์เซ้ลฟ์ อย่าให้หลุดจากห้องนี้ไป ใคร ๆ ก็รู้ว่าบริษัทยาน่ะ อยู่เบื้องหลังนักการเมือง ถ้าเอาจริง ๆ ก็ทั้งฝ่ายค้าน ทั้งฝ่ายรัฐบาลแหละ แต่ละพรรคก็จะมีแหล่งเงินทุน มันจะมาจากไหนกัน ก็มาจากคนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการให้ฝ่ายการเมืองเอื้อประโยชน์ให้งานของเค้า ไอ้เรื่องพวกนี้ใคร ๆ เค้าก็รู้ทั้งนั้น พรรคการเมืองถ้าไม่มีคนหนุน จะมีเงินที่ไหนมาเล่นการเมือง พรรคไหนมาคุมกระทรวงสาธารณสุข ก็จะมีโพยผู้ที่เคยสนับสนุนมากำกับให้รัฐมนตรีรู้ว่า ผู้มีพระคุณของพรรคจากสายสาธารณสุข คือใคร เช่น มิสเตอร์เอ ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทยากอไก่ มิสเตอร์บี ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทยาขอไข่ เป็นผู้ที่สนับสนุนพรรคอยู่ แล้วโพยนี้ ที่ปรึกษาก็จะเป็นคนช่วยจัดการ เราเรียกว่าทีมลงฟีลด์" มัณฑนาเป็นคนฉลาด เธอพยักหน้าแล้วมีรอยยิ้ม เข้าใจในสิ่งที่สามีกำลังเล่า "ทีมลงฟีลด์ ไปประสานงานกับข้าราชการประจำ เพื่อทำให้ทุกอย่างคล่องตัว มัณเคยติดต่อกับหน่วยงานราชการ ตอนนั้นต้องเดินหิ้วกระเช้าไปให้ที่ปรึกษากระทรวงนั้นที่บ้าน" ดร.ระชดพยักหน้า "นั่นแหละ ! ที่ปรึกษาเป็นคณะทำงานที่จะบอกข้อมูลให้กับรัฐมนตรี เพื่อที่เวลารัฐมนตรีสั่งการ จะได้ไม่ผิดลู่ทาง ไม่เจอข้าราชการขวาง ที่ปรึกษาที่ไม่เป็นงาน ก็อาจจะให้ข้อมูลที่ผิดพลาด พอรัฐมนตรีสั่งการ ปรากฏว่าเจอปลัดกระทรวงขวางบ้าง เจอผู้อำนวยการส่วนขวางบ้าง นี่แสดงว่า ที่ปรึกษาไม่เก่ง ทำงานยังไม่ทะลุ สมัยที่ท่านหัวหน้าพรรคมานั่งกระทรวงสาธารณสุข ตอนนั้นทีมด็อกเตอร์แดงมาเป็นที่ปรึกษา ด็อกเตอร์แดงมีท่อตรงจากบริษัทเอ็นวาตีส ซึ่งเป็นบริษัทยาของฝรั่งเศสส่วนโพยกำกับจากพรรคนี่ มาจากอีกฝ่ายซึ่งส่วนใหญ่คือทางอเมริกา เรื่องที่มีปัญหาคือ โครงการจัดซื้อเวชภัณฑ์ยาสองโครงการ ซึ่งยาที่ชนะการประมูลเป็นยาของบริษัทเอ็นวาตีสทั้งหมด " มัณฑนาเลิกคิ้ว "ไม่มียาจากอเมริกาเลยเหรอ ?" "นั่นก็เป็นประเด็นนึงที่เป็นที่ผิดสังเกตุ แต่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักคือ ในแต่ละโครงการมีการร้องเรียนว่าทุจริต แล้วก็มีมูลจริง ๆ แต่เรื่องเงียบในตอนนั้น" ภรรยาตั้งข้อสังเกตุ "ปล่อยให้เรื่องเงียบมานาน แล้วมาโผล่อีกครั้งตอนที่ท่านเข้าร่วมรัฐบาล ยังงี้มันเรื่องการเมืองแน่ ๆ ไม่ใช่จากคู่แข่ง ตลาดยานี่ปีนึงเป็นเงินเท่าไหร่คะ ? หมื่นล้านได้มั้ย ?" ดร.ระชดหัวเราะ "หมื่นล้านเหรอ ? แค่บริษัทที่ทำเงินอันดับห้า ก็ปาเข้าไปห้าพันล้านแล้ว" ภรรยาเลิกคิ้ว เธอเองไม่มีความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยา ตัวเลขห้าพันล้านที่ได้ยินจากสามี เป็นแค่รายได้ของบริษัทยาอันดับที่ห้าเท่านั้น... ทำให้เธอตระหนักถึง ผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมนี้ "อันดับห้าก็ห้าพันล้านแล้ว ?" "ใช่ ! แกลกโซสมิธ" มันฑนาพยักหน้า "มัณรู้จักบริษัทนี้ค่ะ ขนาดแกลกโซยังเป็นอันดับห้าเลย แล้วท็อปทรีคือใครคะ ?" "ท็อปทรี คือ ไฟเซอร์ เมิร์ค แล้วก็ ซาโนฟีอะเวนตีส"
เธอพยักหน้า "ไฟเซอร์มียอดขายเท่าไหร่คะ ?" "เก้าพันห้าร้อยล้านบาท ปีที่แล้วนะ" ภรรยาอุทานเบา ๆ "โอว ! บริษัทเดียว เกือบหมื่นล้านแล้ว ตลาดรวมก็คงหลายหมื่นล้านเลย" ที่ปรึกษารัฐมนตรีพยักหน้าช้า ๆ "ตลาดรวมมูลค่าหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นล้านบาท !" คราวนี้ภรรยาพยักหน้าติดกันหลายครั้ง "ปีหนึ่งเราต้องเสียเงินซื้อยาฝรั่งปีละแสนล้านบาท มันเป็นเงินมหาศาล เอ๊ะ ! แล้วองค์การเภสัชของไทยล่ะคะ ?" "องค์การเภสัชขายยาได้ปีละแค่สามพันกว่าล้านเอง" มัณฑนาเห็นความแตกต่างของสัดส่วนการตลาดทันที "สามพันกว่าล้าน จากตลาดรวมแสนล้าน ฝรั่งเอาไปกินหมด ผลประโยชน์มหาศาลแบบนี้ มันไม่เข้าใครออกใคร คราวนี้ท่านหัวหน้าพรรคคงโดนหนักสิคะ" สามีพยักหน้า "คุณถาวรมานั่งเป็นเจ้ากระทรวง ก็สงสัยว่า เรื่องนี้เป็นการแบล็คเมล์แน่นอน แล้วจากปฏิกริยาจากท่านหัวหน้าพรรค ที่ถึงขนาดยุบคณะที่ปรึกษานี้ แล้วส่งคนมาเคลียร์ ทำให้มั่นใจว่า หลักฐานที่อีกฝ่ายมีนั้น มีน้ำหนักมาก" เธอไม่เข้าใจความหมายบางประโยคของสามี "ส่งคนมาเคลียร์ ! ด็อกเตอร์หมายถึงอะไรคะ ?" "ท่านสั่งให้รัฐมนตรียุบคณะของพี่ คือ ให้เลิกทำงาน แล้วส่งอีกทีม คือทีมเก่าที่เคยทำงานกับด็อกเตอร์แดงสมัยโน้น ให้มาทำงานแทน พูดกันแบบหยาบ ๆ ก็คือ ส่งมากลบหลักฐานเก่า มาสืบหาพยานเก่า ๆ แล้วรีบจัดการล้างซะ" ภรรยาถอดแว่นสายตาออกวางบนโต๊ะ "คุณถาวรเองก็ไม่รู้เรื่องในอดีตด้วยสิค่ะ ท่าทาง" ที่ปรึกษาพยักหน้า "ไม่รู้ ! แกเองยังตกใจ คุยกับท่านหัวหน้าพรรค ท่านบอกว่าเป็นเรื่องการเมือง ไม่นานเรื่องก็คงเงียบไป" กุนซือหญิงผู้เฉลียวฉลาดแห่งค่ายไตรสรณ์ หยิบปากกาขึ้นมาเคาะนิ้วมือ หยิบแว่นขึ้นมาสวม เลื่อนกระดาษเปล่ามาข้างหน้าเธอ จรดปากกาลงเขียน "หนึ่ง คู่แข่งการค้า นำเรื่องนี้ขึ้นมาแบล็คเมล์ ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเหตุการณ์ผ่านมานานแล้ว ทำไปก็ไม่ได้ผลประโยชน์ใด ๆ ถ้าจะทำ เค้าควรทำตั้งแต่ในสมัยนั้น เพื่อล้มการจัดซื้อ แต่มาทำตอนนี้ ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร การประกาศตัวเป็นศัตรูกับนักการเมือง ไม่ใช่ปกติวิสัยของนักธุรกิจ" เธอเขียนไปพูดไป "สอง ฝ่ายค้าน นำเรื่องนี้ขึ้นมาแบล็คเมล์ อาจเป็นไปได้ เพื่อการต่อรองอะไรบางอย่าง ที่จะได้ผลมากกว่าการใช้ข้อมูลนี้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะถ้ามีหลักฐานมัดแน่นจริง ๆ ฝ่ายค้านไม่น่าจะเอาข้อมูลนี้ปล่อยออกมาให้เรารู้ล่วงหน้า" ดร.ระชดยิ้ม "แล้วข้อสามล่ะ ?" ภรรยาสั่นหัว "ข้อสาม ยังนึกไม่ออก" สามีพูดออกมาเอง "ข้อสาม เป็นการตั้งข้อสงสัยจากคุณถาวร ว่า ไม่ใช่จากสองพวกนั้น แต่..... " เขาหยุดชะงัก แล้วพูดต่อ "....ไว้รอดูเหตุการณ์ไปก่อนดีกว่า" ภรรยาพยักหน้ารับรู้ "งั้นช่วงนี้ด็อกเตอร์ก็เหลืองานที่โรงพยาบาลเท่านั้น คงมีเวลาว่างมากขึ้น" เขาหัวเราะเบา ๆ "ยังไงพี่ก็ว่างกว่ายูอยู่แล้ว ยูน่ะ พักเหนื่อยซะบ้าง วีคเอนด์นี้ไปฮ่องกงกันมั้ย ?" ภรรยากลอกตาขึ้นข้างบน เธอไม่ตอบคำถาม มีแต่เพียงรอยยิ้มที่ผุดมาจากริมฝีปาก ***************************************************************************
อ่านหน้า > 2, 3
|
|||||||