ตอน 13 หน้า 3

วันลายสก็อต (1)

สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท

โทรศัพท์มือถือของรุ่งดังขึ้น เขากดปุ่มรับ

เสียงนิลกาญจน์ดังมาตามสาย

"รุ่ง ! กาญจน์ มาถึงสวนสนุกแล้ว ตอนนี้อยู่ตรงบูธสายไหม"

หนุ่มขี้อำหัวเราะหึ ๆ

"อีกนานเลย จากสายไหมมาฉะเชิงเทรา"

"บูธขายสายไหมอะ ไม่ใช่เขตสายไหม"

"สายไหนล่ะ ?"

ปลายทางร้องเสียงดัง

"อี๊... ! สายนี้แหละ เค้าขายสายไหมกันน่ะ รุ่งรู้จักใช่มั้ย ? จะเดินมาหาเราใช่มั้ย ?"

รุ่งหัวเราะ

"เข้าประตูใหญ่มาแล้วอยู่ทางซ้ายใช่มั้ย ? รอตรงนั้นแหละ อีกประมาณสองชั่วโมงจะไปหา"

เสียงกาญจน์ตะโกนกลับมา

"หา !... ให้กาญจน์ยืนรอสองชั่วโมง ! ไป พี่วี เรากลับกันเถอะ ! ไม่ดงไม่ดูแล้วคอนเสิร์ต"

รุ่งหัวเราะร่วน

"ฮ่า ๆๆๆ ! รอตรงนั้นแหละ เดี๋ยวจะค่อย ๆ เดินกระดึ๊บ ๆ ไป ห้านาทีก็ถึง"

หนุ่มไดโสะตัดสายจากเพื่อนสาว แล้วเริ่มเดินตรงไปยังประตูหน้า

อาการเจ็บก้นกบเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้เขาต้องก้าวเท้าช้าลงอีก หวังว่าฝนคงจะไม่โปรยลงมาในตอนนี้

บริเวณบูธขายสายไหม มีผู้คนหนาตามายืนรอซื้อสายไหมหลากสี

คุณแม่คนหนึ่งบอกลูกสาววัยเจ็ดแปดขวบ ให้รีบจัดการสายไหมในมือให้เสร็จก่อนฝนตก

หนุ่มสาวหลายคนที่เพิ่งผ่านเข้าประตูใหญ่มา เริ่มพกร่มกันให้เห็น

ภาวีพูดขึ้น

"แฟน ๆ ของมิกซ์นี่มีตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงวัยรุ่นเลย เด็กตัวแค่นั้นดูคอนเสิร์ตรู้เรื่องเหรอ ?"

เธอชี้มือไปยังเด็กน้อยอายุประมาณห้าหกขวบที่ถูกผู้ปกครองสองคนจูงมือ

นิลกาญจน์พยักหน้า

"รู้ ! เด็กสมัยนี้จำเก่ง ห้าหกขวบร้องเพลงได้จบเพลงแล้วด้วย"

"ไม่รู้ว่าเด็กอยากดู หรือผู้ใหญ่อยากดู เลยต้องพาเด็กติดมาด้วย"

สองสาวเห็นรุ่งเดินก้าวเท้าสั้น ๆ มาแต่ไกล

ภาวีชี้มือ

"รุ่งเป็นอะไรน่ะ ? ทำไมเดินเหมือนไม่สบาย ?"

เพื่อนรุ่นน้องสั่นหัว

"ไม่รู้สิ ! ใส่เสื้อตัดกับสีผิวจริง ๆ เราเดินเข้าไปหาเค้าเถอะ"

สองสาวเดินออกจากบริเวณบูธสายไหม ตรงเข้าไปหาหนุ่มเสื้อลายสก็อต

นิลกาญจน์ทักขึ้น

"รุ่ง ! เธอเป็นอะไร ? ทำไมถึงเดินเหมือนเจ็บหลัง ?"

รุ่งส่งยิ้มให้สองสาว

"หวัดดีพี่วี ! นี่มันเป็นวิธีการทำหมันแบบประหยัด"

ภาวีหัวเราะ

"ถามจริง ! รุ่งไปทำอะไรมาถึงเดินแบบนี้ ?"

"ผมหกล้มก้นกระแทก อุบัติเหตุเล็กน้อย ไม่เป็นไรหรอกครับ อย่างมาก ต่อมลูกหมากคงแหลกไปแล้ว เป็นหมันแน่ ๆ"

ภาวีโอบไหล่เพื่อนร่วมงาน

"วันนี้กาญจน์แต่งตัวน่ารักมั้ย ? สายเดี่ยวเลยนะ ! ชมเพื่อนเธอหน่อยสิ รุ่ง !"

รุ่งมองดูการแต่งกายของเพื่อนสาวต่างห้องสมัยมหาวิทยาลัย วันนี้เธอดูแปลกตาไปจากทุกครั้งที่เคยเจอ ผมที่เคยถูกรวบมัดเกล้าไว้ข้างหลังเสมอ วันนี้ ถูกปล่อยทิ้งยาวเป็นอิสระ เขายิ้ม

"เหาเข่ออ้าย !" (น่ารักมาก !) หนุ่มขี้อำแหย่เพื่อนด้วยภาษาจีนกลาง

ภาวีเอียงคอ

"ภาษาอะไรน่ะ ! ทำไมไม่พูดภาษาไทย ?"

"ภาษาสวาฮีลีครับ ปกติผมจะชมด้วยภาษาญี่ปุ่นนะ แต่ไม่เอาดีกว่า มันง่ายไป ใคร ๆ ก็แปลออก"

นิลกาญจน์ทำจมูกหึ่ง

"แล้วมันแปลว่าอะไร ที่รุ่งพูดมาน่ะ ?"

"มันแปลว่า คาวาอี้..!" เขาลากคำว่าอี้เสียงยาวให้เหมือนสำเนียงคนญี่ปุ่น

นิลกาญจน์สั่นหัว

"คุยกับรุ่งแล้ว ไม่เคยรู้เรื่อง มิน่าสมัยเรียนถึงมีคนบอกว่า รุ่งมีภาษาเป็นของตนเอง"

รุ่งหัวเราะ

"ฮ่า ๆๆๆ ! เค้านินทากันอย่างนั้นเหรอ ?"

"พี่รุ่ง !"

เสียงเรียกดังมาจากทางขวามือ ทำให้เขาหันไปมอง

เด็กสาววัยประมาณสิบหก-สิบเจ็ดปี ใส่เสื้อลายสก็อตสีเขียวอ่อน กางเกงยีนส์ขาสั้น กำลังยืนส่งยิ้มมาให้เขา

เสื้อลายสก็อตอีกแล้ว ! ! !

เธอยกนิ้วชี้ ชี้มาทางเขา

"พี่รุ่งใช่มั้ยคะ ?"

รุ่งทำหน้าเหรอหรา เขาค่อย ๆ พยักหน้า พลางเรียกความจำในอดีตว่า สาวน้อยนางนี้คือใคร

สาวน้อยเสื้อเขียวเห็นรุ่งพยักหน้า เธอกระโดดดีใจ แล้วรีบวิ่งไปยังกลุ่มของเพื่อน

รุ่งกลับสั่นหัว เพราะในความทรงจำของเขา ไม่เคยเห็นหน้าเด็กสาวคนนี้มาก่อน

กาญจน์ถามขึ้น

"ใครน่ะ ! ไม่รู้จักเหรอ ?"

รุ่งสั่นหัว เขาเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองกับสถานการณ์ที่เจอในบ่ายวันนี้ ต้องมีอะไรบางอย่างมากกว่าเรื่องบังเอิญเสียแล้วที่มีสาวใส่เสื้อลายสก็อตถึงสามคนมีปฏิกริยากับตัวเขา

"รีบเผ่นก่อนที่เค้าจะตามเพื่อนมารุมดีกว่า"

เขาโบกมือเรียกเพื่อนพนักงานฟันปาร์คหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังขับรถคลับผ่านอยู่ไม่ไกล รถคลับเบี่ยงเส้นทางวิ่งตรงเข้ามาเทียบข้าง ๆ เขา

"นที ! ขอใช้วิทยุหน่อย !"

หนุ่มนทีหยิบวิทยุสื่อสารยื่นให้รุ่ง

รุ่งกดวิทยุสื่อสาร แล้วพูด

"โนเวมเบอร์ ออสการ์ ชาร์ลี ทรี ฟรอม โรมิโอ ออสการ์ ออสการ์ โนเวมเบอร์ กอล์ฟ"

เสียงปลายทางตอบมา

"โนเวมเบอร์ ออสการ์ ชาร์ลี ทรี ว่าไงรุ่ง ? นี่พี่พล"

"พี่พล วันนี้ใครเป็นคนดูเรื่องปิดหลังคาโดมครับ ?"

"จรัสน่ะ วันนี้จรัสเป็นคนดูแล"

"โอเค ! ขอบคุณครับ"

รุ่งคืนวิทยุสื่อสารให้นที

"เอ้า ! นทีรอแป๊บนึง เดี๋ยวอาจจะขอให้ช่วยอะไรหน่อย"

รุ่งหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา กดเรียกไปยังปลายทางที่ต้องการ

เขายักคิ้วให้กับนิลกาญจน์

"เดี๋ยวจะให้ดูของดี !"

เพื่อนสาวอมยิ้ม ไม่มีครั้งไหนที่รุ่งไม่มีอะไรแปลกใหม่มาให้สัมผัส

เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ปลายทางมีคนรับสายแล้ว

"พี่จรัส ! ตอนนี้พี่ปิดหลังคาโดมแล้วหรือยังครับ ? ยังเหรอ ? พี่รอสักสิบนาทีได้มั้ยครับ ? โอเค !"

รุ่งกดปุ่มตัดสาย เขาพูดกับนที

"นที ! เดี๋ยวช่วยพาพี่กับเพื่อนไปส่งที่ลานคอนเสิร์ตหน่อย"

นทีพยักหน้า

"ได้ครับ ! ขึ้นมาเลยพี่"

รุ่งพยักหน้าให้สองสาวขึ้นนั่งบนที่นั่งด้านหลังของรถคลับ ตัวเขาเองนั่งลงที่เบาะหน้า

สาวเสื้อสก็อตสีเขียว ยืนรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ สี่คน โบกมือมาทางรถคลับ สาวคนหนึ่งยกมือถือขึ้นถ่ายรูป

รุ่งโบกมือกลับ พร้อมส่งยิ้มให้เด็กสาวกลุ่มนั้น เขาบ่นพึมพำ

"กูไปก่อคดีอะไรไว้วะ ถึงมีคนแปลกหน้ามาทัก ?"

รถคลับพาทั้งสามชีวิต วิ่งผ่านโซนต่าง ๆ ของสวนสนุก ตรงไปยังบริเวณโดมคอนเสิร์ต

*************************************************************************



นทีจอดรถคลับที่บริเวณนอกโดมคอนเสิร์ต

สองสาวลงจากรถคลับ แล้วยืนตาค้าง เมื่อเห็นความใหญ่โตภายนอกของโครงเหล็กที่สร้างขึ้นเป็นเพดานของโดม

รุ่งหยิบสายคล้องคอบัตรพนักงานบางกอกซีดาร์ฟันปาร์คขึ้นสวม พาสองสาวเดินมาที่ประตูเข้าลานฝั่งหนึ่ง

เจ้าหน้าที่ในชุดรักษาความปลอดภัยที่เฝ้าอยู่หน้าประตู ยกมือตะเบ๊ะให้กับรุ่ง

รุ่งพยักหน้า ส่งยิ้มให้

"ยังไม่เปิดให้คนดูเข้าเหรอครับ ?"

รปภ.วัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ

"ยังครับ ! วันนี้ฝ่ายควบคุมบอกว่า ต้องรอให้ปิดหลังคาก่อนครับ ไม่ให้คนเข้าจนกว่าจะปิดหลังคา ไม่งั้นจะวุ่นวายเหมือนครั้งที่มีการแสดงวัฒนธรรมเกาหลี ครั้งนั้นคนแทบจะเหยียบกันตาย"

รุ่งพยักหน้ารับรู้ แล้วพาสองสาวเดินผ่านรปภ. เข้าประตูมา

แค่บรรยากาศที่เห็น ก็ทำให้นิลกาญจน์ และ ภาวี ตื่นเต้นแล้ว

เธอเห็นลานกว้างยาวประมาณสนามฟุตบอล มีเก้าอี้สีเหลืองวางอยู่นับพันตัว ข้างหน้าคือเวทีคอนเสิร์ต เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ กำลังทดสอบเครื่องเสียงอยู่บนเวที

ข้างบนคือโครงเหล็กที่เป็นเพดานของโดม มีเนื้อที่กว้างใหญ่ครอบคลุมลานนี้ทั้งหมด

นิลกาญจน์เขี่ยแขนรุ่ง

"ใหญ่จังเลย ! เมื่อกี๊ยามบอกว่า ครั้งที่แล้วมีเรื่องอะไรที่นี่เหรอ คนถึงจะเหยียบกันตาย ?"

รุ่งชี้มือให้สองสาว มองขึ้นไปเหนือหัว

"เห็นโครงเหล็กข้างบนนั่นมั้ย ? มันเป็นหลังคาที่สามารถปิดได้อัตโนมัติ ครั้งที่แล้วที่นี่จัดแสดงวัฒนธรรมเกาหลี เปิดหลังคาให้แดดส่อง เพราะมันเป็นกิจกรรมกลางแจ้ง ใช้ลานตรงกลางนี้แสดง คนดูยืนอยู่รอบนอก

วันนั้นมีฝนตกโดยไม่ได้ตั้งเค้ามาก่อน เราไม่เคยปิดหลังคาระหว่างการแสดง วันนั้นต้องรีบปิด พอทางศูนย์ข้างบนนั้นสั่งปิด...."

รุ่งชี้มือไปที่ห้องควบคุมคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนชั้นสี่ของอาคารควบคุม

".... ไฟในสนามบางดวงช็อต เสียงดังพรึ่บ ไฟดับหลายดวง มีชิ้นส่วนที่เป็นอุปกรณ์เหล็กชิ้นเบ้อเริ่มตกลงมา ทั้งนักแสดงทั้งคนดูตกใจ กลัวหลังคาจะพัง รีบวิ่งหนีกัน ชุลมุน"

ภาวีถามขึ้น

"เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมถึงเป็นยังงั้น ?"

"ก็เราไม่เคยเตรียมทดสอบเรื่องการปิดหลังคาระหว่างมีการเปิดไฟเต็มที่ แล้วก่อนหน้านั้น มีการซ่อมบำรุงหลังคาที่ยังทำไม่เสร็จอยู่หลายจุด อุปกรณ์ซ่อมบางอย่างยังคาอยู่บนโครงเหล็ก พอหลังคาเริ่มเลื่อน อุปกรณ์บางอย่างก็ตกลงมาพังหมด โชคดีมากที่ไม่มีใครบาดเจ็บเลย"

นิลกาญจน์พยักหน้าช้า ๆ

"รุ่งก็เลยชวนเราสองคนมาเสี่ยงภัยในนี้ ?"

หัวหน้าทัวร์ยกมือขึ้นท้าวเอว

"เดี๋ยวก่อน ! เดี๋ยวรอดูการปิดหลังคาซะก่อน แล้วกาญจน์จะอึ้งทึ่งเสียว เยี่ยวซึมกางเกง"

สองสาวหัวเราะ

รุ่งหันหน้าเดินไปทางอาคารควบคุม เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นโทรหาพนักงานรุ่นพี่ที่ห้องควบคุม แล้วโบกไม้โบกมือ

"พี่จรัส ! พี่ปิดหลังคาได้เลยครับ"

สายปลายทางหัวเราะ

"โน โน ! พี่ไม่ได้รอรุ่ง พี่รอคุณน้อยให้สัญญาณ ตอนนี้ คุณน้อย กับ เดนิส มาดูการปิดหลังคาด้วยตัวเอง"

รุ่งหัวเราะ

"อ้อ... มิน่า ! ผมก็นึกว่าผมใหญ่ขนาดสั่งพี่จรัสได้ ฮ่า ๆ"

เสียงปลายทางหัวเราะตามไปด้วย

"อีกห้านาทีครับ รุ่ง !"

เขาวางสาย แล้วเดินกลับมาที่อาคันตุกะทั้งสอง

"ยืนอยู่ตรงนี้แหละ กำลังดี เดี๋ยวเขาจะปิดไฟทั้งหมด แล้ว เริ่มปิดหลังคา แล้วเริ่มเปิดไฟของแท้"

นิลกาญจน์ถามขึ้น

"ไฟที่เห็นนี่มันไฟปลอมเหรอ ?"

รุ่งสั่นหัว

"ไม่ใช่ ! ตอนนี้หลังคาเปิดอยู่ เขาก็ไม่ได้เปิดไฟเต็มที่ มีแค่ไฟส่องเวที แต่เดี๋ยวพอปิดหลังคา แล้วต้องเปิดไฟสเตเดียม คอยดูแล้วกัน"

เสียงลำโพงประกาศให้เจ้าหน้าที่บนเวทีรู้ล่วงหน้าว่า อีกห้านาที จะดับไฟสนามทั้งหมด เพื่อลองไฟทีละจุด และ ปิดหลังคา

รุ่งมองไปรอบ ๆ อาณาบริเวณ เขาเห็นอาน้อย คุณธรรม์ และ วิศวกรต่างชาติอีกสองคนยืนอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของลาน

เจ้าหน้าที่ฟันปาร์คที่เกี่ยวข้องประมาณสิบกว่าคนถือวิทยุสื่อสาร ยืนกระจายกันทั่วบริเวณ

รุ่งแหงนคอมองท้องฟ้า ไม่มีแสงแดดแล้ว พระอาทิตย์คงถูกเมฆบังจนมิดเตรียมตกดิน

นิลกาญจน์ถือโอกาส เขยิบตัวเข้ามาใกล้รุ่ง สูดกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ จากตัวของเขา

คุณน้อยสนทนากับเดนิส....ผู้บริหารฝ่ายวิศวกรชาวอังกฤษ เมื่อเห็นตรงกันว่า ควรจะปิดหลังคาได้แล้ว เดนิสกดวิทยุสื่อสาร บอกห้องควบคุมให้เริ่มดำเนินการ

เสียงประกาศออกจากลำโพง จากห้องควบคุม

"ศูนย์ควบคุมจะปิดไฟทั้งหมดในลานนี้ เพื่อเตรียมปิดหลังคา และ เปิดไฟสเตเดียม แต่ไฟเอ๊าท์เล็ทที่เลี้ยงอุปกรณ์บนเวที จะไม่ปิดนะครับ"

เจ้าหน้าที่ที่ทำงานบนเวทีเริ่มพักงาน เพราะรู้ว่าบนเวทีจะมืดไร้แสงไฟชั่วคราว

ไฟที่ส่องในลานทั้งหมด เริ่มหรี่ แล้วดับลง

เสียงลำโพงประกาศ เพื่อให้ผู้บริหารที่รอดูอยู่รับทราบขั้นตอน

"เริ่มเปิดไฟสเตเดียมแล้วครับ"

นิลกาญจน์เขยิบเข้าไปใกล้รุ่งมากขึ้นในความมืด

"ทำไมไฟยังไม่สว่างล่ะ รุ่ง ?"

"ยังหรอก กาญจน์ ! ไฟสเตเดียมต้องใช้เวลาวอร์มอัพ กว่าจะสว่างเต็มที่ ก็เกือบสิบนาที"

เสียงลำโพงประกาศ

"สั่งปิดหลังคาแล้วครับ"

โครงเหล็กกรอบหลังคาจากสองฝั่ง เริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ มองเห็นพื้นไวนิลโปร่งแสงที่บุเป็นผนังเพดาน

นิลกาญจน์จับแขนรุ่ง

"สวยจังเลย !"

ภาวียังแหงนหน้าขึ้นมองโครงหลังคาทั้งสองด้าน ที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ เข้าหากัน

เสียงลำโพงประกาศ

"เปิดไฟส่องหลังคาแล้วครับ"

ไฟฮาโลเจนร้อยกว่าจุด ที่ติดตั้งบนโครงเหล็กตามแนวกรอบหลังคา เริ่มฉายส่องไปที่ผนังเพดานของหลังคา ทำให้ลานทั้งหมดภายใต้หลังคานี้ สว่างไปทั่ว

ภาวีเขยิบตัวเข้ามาหาเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง

"หลังคาสวยมาก !"

นิลกาญจน์พยักหน้า

"ค่ะ ! สวยมาก"

รุ่งอมยิ้ม

"ไฟเพดานนี้ จะเปิดสว่างตอนที่เราเริ่มเปิดประตู คนจะเข้ามาตื่นตะลึงกับความสวยงามของหลังคาโดม แต่ตอนเล่นคอนเสิร์ต ไฟพวกนี้จะถูกปิด แต่เดี๋ยวรอไฟสเตเดียมสว่างก่อนเหอะ"

สองสาวกับหนึ่งหนุ่ม แหงนคอขึ้นมองหลังคาที่เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ

เสียงลำโพงประกาศ

"ปิดไฟฮาโลเจนส่องหลังคา"

ไฟส่องหลังคาดับลง คงเหลือแต่ไฟสเตเดียมซึ่งเริ่มสว่างขึ้นทีละน้อย

พื้นที่ทั่วลานมืดสลัวลงชั่วขณะ

กลิ่นน้ำหอมของสาวนางใดนางหนึ่ง เริ่มโชยมาให้เขาสัมผัส เป็นกลิ่นสมุนไพรที่ไม่ฉุนจนเกินไป หรือ อาจจะมาจากพี่ภาวีที่ยืนอยู่ห่างออกไปซักหน่อย แต่คงไม่ใช่มาจากนิลกาญจน์ที่ยืนชิดกับเขาตรงนี้

เสียงนิลกาญจน์พูดขึ้นข้าง ๆ หู
"รุ่ง ! เธอพาสาว ๆ มาดูอะไรแบบนี้กี่รายแล้ว ?"

"เปล่า ! ไม่เคย ! นี่เป็นครั้งแรก หาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เพราะหลังคาโดมที่นี่ สวยที่สุดในประเทศไทย"

ความมืด กับ กลิ่นน้ำหอมของผู้ชายคนนี้ คือ บรรยากาศที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทิ้งบอมบ์ของเธอ

นิลกาญจน์เขยิบตัวเข้าประชิดรุ่ง

"รุ่ง ! กาญจน์ชอบรุ่งนะ"

ทันทีที่พูดจบ เธอก้าวเท้าถอยหลังออกมาจากตัวเขาทันที เหมือนกับการทิ้งระเบิดลูกใหญ่ แล้วรีบจากไป ไม่รอดูผลงานของตัวเอง

หนุ่มไดโสะได้ยินเต็มหูข้างซ้าย เขายังแหงนคอมองดูหลังคาที่เริ่มเคลื่อนตัวเข้าหากัน ไม่แสดงปฏิกริยาใด ๆ กับสิ่งที่ได้ยิน แต่เกิดความประหลาดใจขึ้นในจิตอย่างฉับพลัน

นิลกาญจน์ !.... ตั้งแต่ได้รู้จักพูดคุยกันที่งานศพของคุณแม่ยิ้ม เขาก็พอจะจับความรู้สึกได้บ้าง แต่ไม่เคยนำพามาคิดเข้าข้างตัวเองว่า เพื่อนคนนี้ชอบเขาเกินเลยกว่าคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจ

เขาไม่เคยคิดกับเธอ เกินเลยไปกว่าคำว่า 'เพื่อน' เลยจริง ๆ

แต่... มันก็รู้สึกดีที่มีคนมาพูดคำนี้ ห้ามไม่ได้ที่จะหยุดใจ ไม่ให้พองโต

รอยยิ้มเริ่มผุดมาที่มุมปาก

เขายังคงแหงนคอจ้องมองไปที่ผนังเพดานโปร่งแสง ยังไม่ถึงหกโมงเย็นแต่ท้องฟ้าก็มืดมิดเหมือนกับเวลาทุ่มกว่า คืนนี้ทั้งคืนคงไม่มีดาวปรากฏให้เห็นเพราะถูกเมฆฝนบัง

นิลกาญจน์คงเขยิบเข้ามายืนข้างหลังเขาอีกครั้ง เขารู้สึกได้

รุ่งตัดสินใจแหย่เธอกลับด้วยภาษาต่างชาติ

"เจี้ยเก๋ยหว่อปา ! " (มาแต่งงานกันเถอะ !)

ไม่มีเสียงตอบมาจากสาวที่ยืนข้างหลัง เขาหัวเราะเบา ๆ

"ไม่รู้ความหมายล่ะสิ ! อิ อิ"

กลิ่นน้ำหอมสมุนไพรโชยมาชัดขึ้น หรือว่า แท้ที่จริง เป็นน้ำหอมที่โชยมาจากตัวของนิลกาญจน์นั่นเอง เมื่อเธอยืนอยู่แทบจะชิดกับหลังของเขา จมูกจึงเริ่มได้กลิ่นความหอมอย่างต่อเนื่อง

"หนี่เจินเตอ ซื่อเสี่ยงเยี่ยวเกินหว่อเจี๋ยฮุน ? เหลี่ยงชื่อเลอทิงหนี่ซัวเจ้อยั่ง หนี่เชว่ติ้งเลอมา ?"

สำเนียงเจ้าของภาษาที่คล่องแคล่วจากสาวที่อยู่ด้านหลัง ทำให้รุ่งตกใจ หันหลังกลับมามอง


ถึงแม้แสงไฟจะยังไม่สว่างมากนัก แต่ก็สว่างพอที่จะรู้ว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขา ไม่ใช่เพื่อนสาวผมยาวในชุดเสื้อสายเดี่ยวผมยาว แต่เป็นสาวผมสั้นแค่ปลายคาง ใส่เสื้อแขนกุด

รุ่งรีบผงกหัว

"ขอโทษครับ ! นึกว่าเป็นเพื่อนครับ"

ลำโพงประกาศ

"หลังคาปิดเรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีปัญหาขัดข้องครับ"

รุ่งหันตัวกลับ แหงนหน้าขึ้นมองเพดาน หลังคาโปร่งแสงปิดโดมได้อย่างเรียบร้อย และ สวยงาม ภาพที่เห็นทำให้เขามีรอยยิ้ม

"เพอร์เฟ็คท์ ! สวยมาก !"

เสียงปรบมือดังมาจากเจ้าหน้าที่ฟันปาร์คทั้งหลายที่กำลังแหงนคอติดตามดูภารกิจนี้มาตลอด

ไฟสเตเดียมเริ่มสว่างเกือบเต็มร้อยเปอร์เซนต์ แสงไฟสว่างจ้าส่องกระทบกับโครงเหล็กของหลังคาเป็นเงาวับ พื้นที่ในส่วนลานทั้งหมดที่ขณะนี้มีเก้าอี้นับพันตั้งอยู่เรียงราย สว่างดุจกลางวันด้วยแสงไฟจากแผงอุปกรณ์ที่ถูกติดตั้งบนหลังคา

เสียงนิลกาญจน์พูดขึ้น

"ว้าว ! ดูอลังการจริง ๆ "

แสงไฟที่มีกำลังวัตต์มหึมาส่องกระทบกับพนักเก้าอี้สีเหลือง เป็นมันวับไปทั่ว

ทั้งภาวี และ นิลกาญจน์ หยิบมือถือขึ้นถ่ายรูป

รุ่งหันหลังไปรอบตัว ไม่พบผู้หญิงในชุดเสื้อแขนกุดคนเมื่อครู่นี้แล้ว กลิ่นน้ำหอมก็หายไปกับเธอคนนั้น

ไฟส่องเวที ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง

เสียงประกาศออกลำโพง

"อีกสิบนาที พร้อมเปิดประตู"

****************************************************************************

1, 2 < อ่านหน้า > 4
สั่งซื้อ นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก กดที่นี่