| |||||||
| |||||||
สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท นายแพทย์ณรงค์วัยสี่สิบต้น ๆ อยู่ในชุดลำลอง เสื้อเชิ้ตแขนสั้นกางเกงแสล็คขายาว กระเป๋าล่วมยาถูกตั้งวางอยู่ข้าง ๆ เก้าอี้ สีหน้าของคุณหมอยังแสดงถึงความประหลาดใจ ที่เห็นคนป่วยกลับมามีสภาพสดใสแข็งแรง ทั้ง ๆ ที่เมื่อชั่วโมงกว่าที่ผ่านมา ยังมีอาการป่วยหนัก ความดันสูงสลับความดันต่ำ มีไข้สูง แล้วสลับด้วยการตัวเย็น "ถ้าผมไม่เห็นคุณแอนดี้ด้วยตาตัวเองในคืนนี้ ผมคงยังไม่เชื่อที่คุณหญิงเล่าให้ฟัง แต่วันนี้ ผมรู้แล้วว่า สิ่งที่ผมยังไม่เคยเจอ ยังมีอีกเยอะ คงต้องเปิดใจให้กว้างกว่านี้" สิงห์ในชุดดำพยักหน้า "ครับ ! เล่าให้คนอื่นฟังก็เปล่าประโยชน์ ต้องมาเห็นเอง มันทรมานใช่เล่น จะฆ่าตัวตายก็ไม่ได้..." เขาหัวเราะเบา ๆ "... เพราะ ท่านห้ามผมฆ่าตัวตาย คุณหมออยากเป็นแบบผมบ้างมั้ยล่ะ ?" หมอณรงค์เอียงคอ "ไม่ไหวเหมือนกันนะ ถึงจะเป็นเวลาแค่ชั่วโมงกว่า แต่ถ้าต้องเป็นแบบนี้ทุกวัน ผมว่ามันก็หนักมาก คุณแอนดี้นี่เยี่ยมมาก ใจคงต้องเด็ดมาก ต้องมั่นใจว่ามันจะหายได้ก่อนสองทุ่มครึ่งของทุกวัน ทุกวันต้องทำใจแบบนี้ให้ได้ ผมว่ามันต้องอาศัยความกล้าอย่างมาก" แอนดี้กลับหัวเราะ "มันไม่ต้องกล้าหรอกครับ มันไม่มีทางเลือก ! ผมไม่อยากป่วยอย่างนี้หรอก ผมไม่อยากป่วยแบบไหนเลย ถ้าเลือกได้นะ แต่นี่มันคือกรรมที่ผมต้องใช้ หนียังไงก็ไม่พ้น ไม่ว่าผมจะกล้า หรือ จะกลัว ผมก็จะต้องเจอแบบนี้ไปจนกว่าจะหมดเวรกัน ไม่รู้อะไรจะหมดก่อนกัน เวรจะหมด หรือ อายุขัยผมจะหมดก่อน" จู่ ๆ คุณหมอก็ยกมือไหว้คนไข้ "รบกวนหลวงพ่อ ให้ธรรมะผมข้อนึงได้มั้ยครับ ?" คนไข้ผงะหัว "เอ้า ! คุณหมอมาไหว้ผมทำไมล่ะครับ ? คุณหมอจะฟังธรรมะจากหลวงพ่อไหนล่ะครับ ถึงมาไหว้ผม ?" หมอณรงค์หัวเราะ "คือ.... ผมน่ะ เวลานึกถึงหลวงพ่อที่อุทัยธานี เวลาต้องการธรรมะอะไรที่เหมาะสมกับสิ่งที่ผมกำลังเจออยู่ ผมก็จะอธิษฐานในจิต แล้วส่วนใหญ่ ผมก็ได้รู้ธรรมะนั้น ไม่จากการได้อ่านหนังสือ ก็จากการได้ดูทีวีบ้าง หรือไม่ก็มีคนมาแนะนำบ้าง เหมือนกับว่า หลวงพ่อท่าน มีวิธีทางส่งผ่านธรรมะหัวข้อนั้นมาให้ผมได้ผ่านสื่อต่าง ๆ คุณแอนดี้ คงต้องเป็นสื่อให้ได้แน่นอน ผมฟังจากคุณหญิงเล่า ผมเชื่ออย่างนั้น" ทิดเอกขมวดคิ้ว "ผมคงเป็นสื่อที่ไม่แม่นยำหรอกนะ คุณหมอ เดี๋ยวมันจะไปกันใหญ่ อยากได้ธรรมะของหลวงพ่อ แล้วมาถามจากผม มันจะกลายเป็นปาหี่ซะเปล่า ๆ เชื่อได้ที่ไหนกัน ?" คุณหมอยกมือไหว้อีกครั้ง แอนดี้ยกมือห้าม "อย่าไหว้ครับ ! เดี๋ยวผมอายุสั้น ! สำหรับคุณหมอ คนกันเอง เดี๋ยวผมเล่าอะไรให้ฟังเป็นของเล่นสนุก ๆ ดีกว่า อย่าถือว่าเป็นเรื่องราวจริงจังแล้วกัน แล้วอย่าไปเล่าว่าผมเป็นสื่อของพระท่านไหนได้ ตายเลยนะ ! เข้าข่ายหลอกลวงชาวบ้าน" แอนดี้ตั้งจิตเพียงขณิกสมาธิ เห็นภาพหลวงพ่อที่อุทัยธานีมาปรากฏในมโนจิต จับลมหายใจเข้าออกต่อเพียงแค่อีกหนึ่งคู่ จิตก็วิ่งเข้าถึงอุปจารสมาธิ เขาเริ่มพูด "คุณหมอได้เจอคนไข้มากมาย บางคนมาหาคุณหมอ อาการดีขึ้น บางคนหาย บางคนไม่หาย บางคนตายไปก็มี ใช่มั้ยครับ ?" นายแพทย์พยักหน้า ตั้งใจฟัง ยกมือขึ้นพนม แอนดี้โบกมือห้าม "ไม่ต้องพนมมือครับ คุณหมอ ! ผมไม่ใช่พระ คุณหมอฟังในฐานะเพื่อนเล่าให้กันฟังเถอะ อย่ามีพิธีอะไรมากเลย มันจะพาผมลงนรกซะเปล่า ๆ" คุณหมอลดมือทั้งสองข้างลง พยักหน้า แล้วยกแขนตัวเองขึ้นมาดู "เพียงแค่คุณแอนดี้เกริ่นนำ ขนผมก็ลุกหมดแล้ว ผมนับถือหลวงพ่อท่านมาก เวลาผมรู้สึกว่าท่านมาอยู่ใกล้ ๆ ผมจะขนลุกทุกครั้ง ผมเชื่อว่า ตอนนี้ท่านมาอยู่ที่นี่แล้ว มันก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นเพื่อไหว้ท่าน งั้น ! ต่อแล้วกันครับ" แอนดี้พูดต่อตามที่จิตนึกได้ "มีอาชีพเป็นหมอ ถือว่าโชคดีมาก โชคดีทั้งในแง่การทำทาน สละเวลา หยาดเหงื่อ แรงกาย แรงใจ เพื่อช่วยผู้อื่น เป็นมหากุศลที่มีอานิสงฆ์ประมาณไม่ได้ โชคดีไปกว่านั้น คือ ได้เจอสิ่งที่ทำให้เราระลึกถึงธรรมชาติได้บ่อยกว่าคนในอาชีพอื่น คนอื่นทั่วไป ใครที่ไหนกัน จะได้มีโอกาสเจอคนเจ็บ คนป่วย คนพิการ คนใกล้ตาย ได้มากกว่าอาชีพหมอ ? ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการเจ็บป่วย แก่ แล้ว ตาย มากกว่าอาชีพหมอ ? ถ้าพิจารณาให้ดี อาชีพหมอ เป็นอาชีพที่สามารถมองงานที่ทำอยู่ ให้เป็นสมถะได้ทุกขณะ เป็นวิปัสสนาได้ทุกขณะ สภาพร่างกายที่ทรุดโทรมเจ็บป่วย อาการของคนไข้ที่อ่อนแอ ใบหน้าที่เหี่ยวเฉา หากใช้จิตที่สงบเพ่งดูไม่นานนัก จิตก็จะสามารถติดในอสุภกรรมฐานได้ไม่ยากนัก ความไม่โสภาของร่างกายคนไข้ บาดแผลที่เกิดจากการเจ็บป่วย รูปร่างที่ทรุดโทรมไปของธาตุทั้งสี่ มันเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนที่สุด สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนี้ มันเกิดขึ้นที่ไหน ? มันเกิดขึ้นที่ร่างกายของคนทุกคน อะไรที่เกิดขึ้นกับร่างกายคนไข้ สิ่งนั้น ก็อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้เช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้น หากเห็นความน่ารังเกียจในร่างกายของคนไข้ ต้องเห็นความน่ารังเกียจนั้น ในกายของเราด้วย แต่ ความน่าเกลียดในกายของเราเอง มันอยู่ใกล้เรา มากกว่าคนไข้ เมื่อมองเห็นความน่าเกลียด น่าขยะแขยงของความแก่ ความป่วยในตัวเราเองแล้ว เราจะรังเกียจคนไข้น้อยลง เพราะตัวเราเองนั่นแหละ น่ารังเกียจกว่า เพราะอยู่ใกล้เรามากกว่า เห็นได้ชัดกว่า ได้กลิ่นได้ดีกว่า สัมผัสความน่าเกลียดนั้นได้บ่อยกว่า หากจิตสงบนิ่งไปกว่านั้นอีกสักนิด จิตจะมองเห็นภาพความเน่าเฟะของสภาพเนื้อหนัง และ ลึกลงไปใต้ผิวหนัง น้ำเลือด น้ำเหลืองต่าง ๆ โดยเฉพาะอาชีพหมอนั้น เวลาร่ำเรียนก็จะต้องอาศัยทัศนศึกษาจากศพ เมื่อจิตมีสมาธิที่นิ่ง ภาพศพที่เคยได้ผ่านตามา จะกลับมาประทับในจิตอีกครั้ง แต่เป็นครั้งที่ชัดเจนกว่า แนบแน่นกว่า หากจิตนิ่งไปกว่านั้น กลิ่นต่าง ๆ ที่เคยสัมผัส ก็จะตามมาด้วย..." จิตของคุณหมอณรงค์คล้อยตามคำพูดของแอนดี้ ภาพต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นในความนึกคิดของคุณหมอตามไปด้วย "... เมื่อระลึกถึงภาพศพได้ชัด ก็ขอให้คุณหมอนึกขอบคุณตัวเอง ที่ในอดีต เคยได้วนเวียนอยู่กับสมถะในกองอสุภกรรมฐานนี้มาเป็นเวลาหลายร้อยชาติ ในชาตินี้ ถึงได้มีโอกาสมาสัมผัสกับศพอีกในฐานะนักเรียน และขอให้นึกถึงพระคุณของศพทุกศพ ไม่ว่าจะในอดีตชาติ หรือ ในชาตินี้ ว่า เขาเหล่านั้น เป็นครูสอนธรรมะขององค์พระพิชิตมารได้อย่างพิสดารมากกว่าคำพูดของอาจารย์ที่มีชีวิต สิ่งที่มีคุณค่าที่สุด ที่อาจารย์ใหญ่ได้สอนเราต่อหน้าต่อตา คือ การย้ำคำสอนของพระบรมครู ที่ตรัสว่า ทุกชีวิต ไม่สามารถล่วงพ้นความตายไปได้ เป็นเรื่องหนึ่ง ร่างกาย เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้ เป็นเพียงธาตุสี่ เป็นเพียงสสารของจักรวาลนี้ ที่เมื่อถึงเวลา ก็จะแยกตัวกลับกลายเป็นธาตุต่าง ๆ ตามเดิม เลือด และ น้ำเหลือง คือ ธาตุน้ำ จะทะลักออกจากผิวหนัง คือ ธาตุดิน เมื่อธาตุลมหมดไป นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การพยายามดูแล จัดสรร รักษา เยียวยา ให้ธาตุทั้งสี่ที่มาประชุมกันเป็นร่างกาย ให้มีสภาพคงเดิมนั้น เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส และ เป็นสิ่งที่ทำได้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีใครในโลกนี้ และ ในโลกหน้า สามารถรักษาให้ธาตุทั้งสี่ ที่มาประชุมกันเป็นร่างกาย อยู่คงสภาพได้ตลอดไป..." เมื่อสิ้นสุดประโยคนี้ หมอณรงค์เงยหน้าขึ้น แล้วอุทาน "โอว ! ทำไมเรื่องง่ายแค่นี้ ผมถึงนึกไม่ออก" คุณหมออดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นพนมอีกครั้ง "สาธุ ! หน้าที่ของหมอ คือ แค่ช่วยพยุงธาตุสี่ให้คงไว้ได้ชั่วคราว ผมเห็นภาพแล้ววันนี้ ผมน่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมา ทำไมผมถึงทำใจให้เข้าใจเรื่องพวกนี้ไม่ได้ซักทีนะ ?" คำพูดประโยคสุดท้ายที่เพิ่งจบไป คงไปกระตุ้นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจอะไรบางอย่างของคุณหมอ ให้หลุดออก แอนดี้มองหน้าคุณหมอณรงค์ เขากำลังตั้งใจฟังต่อ ทิดเอกจึงพูดต่อ "ร่างกายนี้ เกิดมาเพื่อทำลายตนเองตั้งแต่เกิด ! ร่างกายนี้ ไม่มีลมหายใจ หรือ เรียกว่า ขาดธาตุลม ก็อยู่ไม่ได้ เพราะหากขาดธาตุลม ธาตุไฟจะดับทันที เมื่อธาตุไฟดับ ธาตุน้ำที่เคยถูกไฟผลาญให้มีจำนวนพอเหมาะ จะมีจำนวนมากขึ้นทันทีจนทำลายธาตุดิน น้ำเลือด น้ำเหลือง เมือกต่าง ๆ ในร่างกาย จะทะลักออกมานอกผิวหนัง ฉะนั้น ธาตุลม ถือเป็นธาตุที่สำคัญ เป็นธาตุที่ก่อตั้ง เป็นธาตุที่รักษาสมดุล ในขณะเดียวกัน ธาตุลม ก็เป็นธาตุที่ทำลาย เพราะ ธาตุลม เป็นตัวกระพือไฟ ทำให้ไฟเผาผลาญทั้งน้ำ เผาผลาญทั้งดิน เพราะการหายใจเข้าไป ทำให้ร่างกายเกิดความร้อน เกิดการสันดาป ทำให้เซลหมดอายุ ทำให้เซลตาย ทำให้เราแก่ ทำให้อวัยวะถดถอย เพราะมีการหายใจ มีการเผาผลาญ ทำให้เราต้องการพลังงานเพิ่ม ทำให้เราต้องการอาหาร เมื่อใส่อาหารเข้าไป ร่างกายต้องเผาผลาญอาหารเพิ่ม ทำให้อวัยวะเสื่อมเร็วขึ้น ยิ่งมีการเผาผลาญมากเท่าไหร่ อวัยวะก็จะเสื่อมเร็วเท่านั้น อาหาร จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความแก่ ความชรา ความเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดเลิศแค่ไหน เมื่อเข้าร่างกายไป ก็จะเกิดกระบวนการกัดกร่อน เผาผลาญ ทำลายอวัยวะทีละน้อยทั้งสิ้น อาหาร จึงเป็น สิ่งที่พยุงร่างกาย และ สิ่งที่ทำลายร่างกายเราไปพร้อมกัน หากไม่จำเป็นต้องหายใจเลย เราก็จะไม่จำเป็นต้องหาอาหารเลย ฉะนั้น ธาตุลม ก็เปรียบเสมือน ต้นเหตุที่สร้างวงจรอันน่าเบื่อหน่ายของมนุษย์ ที่ต้องแสวงหา ต้องดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะคงธาตุสี่ไว้ในรูปแบบที่เราต้องการ คือ ร่างกาย...." แอนดี้หยุดพูด เมื่อเห็นคุณหมอมีนัยน์ตาที่เหม่อลอย หลุดเข้าภวังค์ เขาค่อย ๆ เอื้อมมือไปแตะหัวเข่าของคุณหมอ "คุณหมอครับ !" อารมณ์ของนายแพทย์หนุ่มกำลังดิ่งลึกลงไปสัมผัสกับจินตนาการตามคำพูดที่ได้ยินจากแอนดี้ คุณหมอกระพริบตาสองสามครั้ง "คุณแอนดี้ทำให้ผมเกิดปีติ มันเป็นการเทศน์ที่ทำให้ผมเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด" ทิดเอกยกมือขึ้นลูบหัวตัวเอง "หน้าตาผมนี่ยังเหมือนเป็นพระหรือไงครับ ? สงสัยต้องใส่วิกซะแล้ว รอผมให้ยาวเองคงไม่ทัน ผมน่ะสึกมาแล้วตั้งสองเดือน ถ้ายังมีคนเข้าใจผิดว่าผมเป็นพระอยู่นี่ ใช้ไม่ได้แล้ว" หมอณรงค์พยักหน้า "ใช่ครับ ! เหมือนกับพระเทศน์ไม่มีผิด" คุณหมอเลื่อนตัวลงจากเก้าอี้ มาคุกเข่า พนมมือ แล้วทำท่าจะก้มลงกราบ แอนดี้รีบผุดตัวเองพรวดออกจากเก้าอี้ แล้วยื่นมือไปจับแขนของคุณหมอ "ไม่ได้ครับ ! เอาอีกแล้ว ! อย่ากราบผมครับ !" คุณหมอมีสีหน้าตื่น "หา...! ทำไมเหรอครับ ?" "ผมไม่ใช่พระแล้ว ! ผมเป็นคนธรรมดา คุณหมอปฏิบัติกับผมเหมือนเพื่อนคนหนึ่งเถอะ ไม่งั้นผมคงจะต้องลาที่นี่ กลับไปบวชต่อดีกว่า มิน่า ... ! ทำไมหลวงพ่อสอนถึงเตือนว่า ไม่ให้ผมรับการกราบไหว้ ตอนนั้นผมก็ยังสงสัยว่า ผมไม่ได้เป็นพระแล้ว จะมีคนมากราบผมเรื่องอะไร" คุณหมอณรงค์นั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม เขาพอจะเข้าใจในสิ่งที่แอนดี้พูด "หลวงพ่อสอนเตือนล่วงหน้าแล้วเหรอครับ ? ท่านคงรู้ว่า ธรรมะที่คุณแอนดี้พูดนั้น มันไม่ใช่มาจากคุณแอนดี้เอง ผมรู้สึกว่า มาจากหลวงพ่อที่อุทัยธานี เพราะ ระหว่างฟัง ผมทั้งขนลุก ทั้งมีสติที่สงบ ซึ่งตามปกติ ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ฟังเสร็จแล้ว มันต้องกราบให้ได้" ยอดนักเทศน์มองหน้าหมอ "ขนาดนั้นเชียวเหรอครับ ? ตอนผมพูด ผมไม่เห็นรู้สึกอะไรผิดปกติเลย มันก็อาจเป็นไปได้นะ แต่ โปรดให้ความร่วมมือด้วยเถอะครับ อย่ากราบผม ถ้าอยากจะกราบ กลับไปกราบพระที่บ้านเถอะ หลวงพ่อสอนบอกว่า หากผมเริ่มรับการกราบไหว้ของคนอื่น เท้าของผม จะเริ่มลงนรกไปทีละน้อย แล้วผมก็จะไม่สำเร็จอะไรซักอย่าง เพราะความมีมานะ ถือตัวตน มันจะบังตาจนมืดมิด" คุณหมอพยักหน้า แล้วส่งยิ้มให้ "ได้ครับ ! ผมเข้าใจ ! ยิ่งฟังยิ่งศรัทธามากขึ้น ผมอยากจะปวารณาตัวเป็นหมอประจำตัว อุปัฏฐากคุณแอนดี้ตลอดไป ถ้าคุณแอนดี้ไม่ขัดข้อง" แอนดี้หัวเราะหึ ๆ "คุณหมอ อยากจะทำอะไร ก็ทำตามสะดวกเถอะครับ ผมไม่ขัดข้อง แต่อย่าใช้ศัพท์พวกนี้กับผมเลยครับ มันก็ไม่พ้นศัพท์ที่ใช้กับพระอีกนั่นแหละ คุณหมอสั่นหัว "ไม่มีอะไรต้องตรวจแล้วครับ ท่าทางแข็งแรงกว่าผมด้วยซ้ำ" ******************************************************************************************* อ่านหน้า > 2, 3 , 4 |
|||||||