ตอน 16 (หน้า 4)

วันลายสก็อต 4

วิบูลย์ยืนคุยกับลูกสาวอยู่ที่ชานเรือนไม้ด้านหน้า

"แพม พ่อไม่สบายใจเรื่องคุณชินมาชวนแพมไปลงสมัครเลือกตั้ง"

ลูกสาวพยักหน้า

"แพมก็ไม่สบายใจเหมือนกัน แพมจะบอกไปตรง ๆ เลยดีมั้ยว่า แพมไม่สนใจการเมือง ? เค้ามาทาบทามแพมนี่ เหมือนกับไม่ได้ดูเลยว่าแพมเป็นคนยังไง เค้าคิดอะไรของเค้านะ ?"

"พรรคการเมืองสมัยนี้ สนใจบุคลิก หน้าตา การศึกษา มากกว่าอุดมคติ คุณชินก็ดีกับพวกเรามาตลอด มันต้องปฏิเสธแบบนุ่มนวล พ่อว่าจะให้อาน้อยเป็นคนพูดให้ดีกว่า"

แพมเห็นด้วย เมื่อนึกถึงบุคลิกของคุณอาที่เป็นคนใจเย็น สุขุมกว่าบิดาบังเกิดเกล้าของตน

"ดีค่ะ ! พ่อบอกอาน้อยเองนะ แพมยังไงก็ได้ แพมหมายถึง จะให้แพมพูดกับอาน้อยเองก็ได้ หรือ พ่อจะพูดให้ก็ได้ หรือ จะให้แพมบอกคุณชินเองก็ได้ แพมโอเคหมดนะพ่อ เรื่องปฏิเสธ แพมไม่อายหรอก"

คุณพ่อพยักหน้า รู้นิสัยลูกสาว

"เรื่องปฏิเสธ พ่อก็ไม่อายเหมือนกัน แต่พ่อพูดจาไม่นุ่มนวลเหมือนอาเธอ ให้อาน้อยไปพูดดีกว่า แล้วจะต้องปฏิเสธพี่ปลิวเค้าด้วยหรือเปล่า ?"

พอพูดถึง ปลิว ลูกชายของ คุณชิน สส.จังหวัดสมุทรปราการ ลูกสาวก็มีท่าทีเขิน ตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาลง

"ปฏิเสธอะไร พ่อ ?"

วิบูลย์ก็รู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ เขาไม่ถนัดที่จะคุยกับลูกสาวในเรื่องเหล่านี้ซักเท่าไหร่

"ก็.... พี่ปลิวก็เป็นเพื่อนได้นะ พ่อจะบอกว่า คุณชินเป็นคนดี เค้าเกรงใจพวกเรามาก ให้เกียรติพวกเราตลอด แพมเป็นเพื่อนกับพี่ปลิวก็ดีนะ"

แพมพยักหน้า

"ก็เป็นเพื่อนก็ดี อือ... ก็ ค่ะ"

เธอไม่แน่ใจว่าพ่อต้องการจะสื่อสารเรื่องอะไร

"พ่อหมายถึง ให้แพมพิจารณาเองว่า จะคบใครเป็นเพื่อนตามปกติ หรือว่า.... แนะนำว่า พี่ปลิวเป็นเพื่อนที่ดีกว่าปกติ ?"

วิบูลย์รู้สึกอีหลักอีเหลื่อ เขาเลี้ยงลูกสาวมาแบบค่อนข้างโบราณ ไม่เคยสนทนาเรื่องปัญหาหัวใจของลูกสาว แพมเองก็ไม่เคยคุยเรื่องราวเหล่านี้ให้พ่อได้ยิน

"แพมก็โตแล้ว จะคบใครเป็นเพื่อนก็แล้วแต่แพมตัดสินใจแล้วกัน"

ลูกสาวพยักหน้า

เป็นการสนทนาที่สั้น และ ไม่ได้ใจความใด ๆ เพราะ ต่างฝ่ายก็ต่างไม่รู้ว่า อีกฝ่ายมีความคิดอะไรในใจอยู่ดี ซึ่งเป็นบรรยากาศการสื่อสารที่ปกติ สำหรับพ่อลูกคู่นี้

คุณพ่อยื่นมือออกไปนอกชายคาเรือน

"ฝนหยุดตกแล้วจริง ๆ ! พ่อเข้าไปข้างในก่อน"

ลูกสาวพยักหน้ารับรู้ ปล่อยให้ผู้เป็นพ่อเดินกลับเข้าไปคนเดียว

ถ้าพ่อจะบอกความต้องการให้เธอรู้ เธอก็จะรับฟัง แต่ถ้าพ่อไม่พูด เธอก็จะไม่ถาม

เธออยากรู้มั้ยว่า พ่ออยากให้เธอคบกับพี่ปลิวแบบไหน ?.... ก็... ถ้ารู้ ก็คงจะดี.... แต่ ถ้าไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร.. เธอก็จะเป็นคนเรื่อย ๆ แบบนี้ต่อไป

บรรยากาศที่กระอักกระอ่วนแบบนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อเธอเรียนมัธยมปลาย มีเพื่อนชายร่วมชั้นคนหนึ่งที่สนิทพอที่จะไปมาหาสู่ที่บ้าน

พ่อไม่เคยห้าม ไม่เคยแสดงท่าที่ผิดปกติ ไม่เคยถามถึงเพื่อนคนนั้นด้วยคำถามใด ๆ ในด้านลบ แต่ ก็ไม่เคยถามในด้านบวกเช่นกัน สรุป คือ พ่อไม่เคยพูดถามถึงเพื่อนคนนั้นในเรื่องใด ๆ จากเธอเลย แต่เธอรู้เองว่า พ่อถามจากแม่เป็นครั้งคราวว่าเพื่อนผู้ชายคนนั้นเป็นอย่างไร

บางครั้ง... เธอก็สงสัยว่า พ่ออยากจะมีลูกคนโตเป็นผู้ชายหรือเปล่า ? แต่ มันก็ไม่ใช่ความคิดที่เกิดขึ้นเพราะความน้อยใจใด ๆ เพราะ พ่อก็ไม่เคยแสดงให้เห็นว่ารักเธอน้อยกว่าน้องชาย

หากจะสรุปแบบรวม ๆ ง่าย ๆ คือ พ่อเธอมีบุคลิกในการเลี้ยงลูกแบบผู้ชายแท้ ๆ เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เป็นผู้ชายโบราณที่ไม่ชอบให้ลูกสาวมาฉอเลาะเอาอกเอาใจ โชคดีที่ เธอเองก็ชอบที่จะถูกเลี้ยงมาแบบนี้เหมือนกัน

เสียงฝีเท้าคนเดินบนหญ้า ทำให้แพมหันมองลงมาที่ทางเดินด้านข้างของเรือน

แสงไฟสลัว ๆ จากหลอดไฟของเรือน เธอมองเห็น ผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินโซเซอย่างช้า ๆ ตรงมาที่บันไดขึ้นเรือน

แล้วจู่ ๆ ก็ทรุดตัวลงที่เชิงบันได มือหนึ่งเกาะราวบันไดไม้ไว้

เธอทาบอกด้วยความตกใจ แล้วรีบเดินเข้าไปที่บันได

"ใครคะ ?"

หนุ่มคนนั้น ค่อย ๆ โน้มตัวก้าวขึ้นบันไดมาทีละขั้น กางแขนออกเหมือนกับจะคว้าอากาศ เสียงที่แหบแห้งออกมาจากลำคอ

"ช่วย.... ช่วย... ผมด้วย !"

แล้วก็ทรุดตัวลงนอนคว่ำหน้าบนพื้น

"ตายแล้ว !" หัวใจเต้นด้วยความระทึก เธอรีบเดินเข้าไปใกล้ชายผู้นั้น

"เป็นอะไรคะ !"

เขาพลิกตัวหงาย แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบก

แสงไฟเหลืองส่องให้เห็นหน้าชายคนนี้อย่างชัด

ใจของเธอหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ความเย็นวาบทาบไปทั่วตัว เมื่อสองตาที่เธอกำลังเห็นอยู่ คือ คนที่เธอรู้จัก อยู่ในสภาพเลือดอาบกาย นอนหงายอยู่บนพื้น

"รุ่ง !" เธอทรุดตัวฮวบลงไปคุกเข่าต่อหน้าเขา

"พี่.... แพม....!" เสียงที่แหบแห้ง และ อ่อนระทวยเหมือนจะขาดใจ หลุดมาจากลำคอเขา

สาวผู้โชคร้ายก้มลงใช้แขนข้างหนึ่งประคองที่ต้นคอ อีกมือหนึ่งวางโทรศัพท์มือถือไว้บนพื้น แล้วค่อย ๆ ประคองบ่าของเขาขึ้นมา

"รุ่ง ! ไปโดนอะไรมา ทำไมถึงมีเลือดเต็มตัวเลย ? รุ่ง...!"

มือของเขาข้างหนึ่งยังคว้าอากาศ แพมต้องฉวยข้อมือเขาไว้ รอยเลือดเปื้อนเขนของเธออย่างช่วยไม่ได้

"ผม.... ถูก... แทง !"

แพมได้ยินคำพูดอย่างชัดเจน ความตระหนกสุดขีดทำให้เธอถึงกับเสียงสั่น

"ใครแทงรุ่ง ? พี่จะเรียกคนมาช่วย"

เธอปล่อยมือที่ประคองบ่าเขาลง หัวของรุ่งถูกปล่อยให้กระแทกพื้น

'โป๊ก !'

พลันฉวยโทรศัพท์มือถือ แล้วกดเบอร์โทรหาวลีพร

"ไม่.... ไม่ต้อง.... ผม... คงไม่ รอด"

โทรศัพท์ติดแล้ว เธอพูดกรอกไปในสาย

"น้องลี ออกมาหาพี่ที่ชานเรือนไม้นี่ ด่วน รุ่งถูกแทง"

รุ่งจับข้อมือแพมเพื่อง้างโทรศัพท์ออกจากตัวเธอ

"พี่แพม ! ไม่ต้อง.... คงไม่ทันแล้ว"

คำพูดของรุ่ง ยิ่งทำให้สาวผู้โชคร้ายใจสั่น น้ำตาเริ่มออกมาคลอ

"อดทนอีกนิดนะ รุ่ง ต้องไม่เป็นไร"

"ไม่ต้อง.... ! อย่าตาม ! ผมไม่ไหวแล้ว ผมฝากบอก น้องลีด้วยว่า.... ผม ไม่อาจทำตามสัญญาที่ผู้ใหญ่ได้ตกลงกันไว้.... ผม... คง จะไม่มีวาสนาได้แต่งงานกับน้องลี"

คำพูดนี้ทำให้น้ำตาของเธอไหลลงมาที่แก้ม

"ไม่ ... ไม่... รุ่ง ไม่มีใครบังคับรุ่ง รุ่งไม่ต้องแต่งกับใครทั้งนั้น "

"แต่... น้องลี.... คง.... คงไม่ได้อยากแต่งกับผม...ผมมันเป็นคนอาภัพ...." เขาบีบเสียงให้แหบลง แล้วค่อย ๆ กลืนน้ำลายอย่างลำบาก

สาวผู้โชคร้ายเขย่าตัวรุ่งเป็นระยะ

วลีพรก้าวเท้าออกมาที่ชานเรือนไม้ เพียงแค่มองผาดครั้งแรก เธอก็เข้าใจสถานการณ์ทันที

สาวตุ้ยนุ้ย ก้มลงคุกเข่าข้าง ๆ แพม

"พี่แพม ! พี่รุ่งเป็นอะไร ? โดนระเบิดมาเหรอ ?"

แพมหันหน้ามองญาติผู้น้อง เธอสั่นหัว

"รุ่งถูกแทง !"

วลีพรสังเกตเห็นน้ำตาบนใบหน้าแพม เธอรู้ว่าลูกพี่สาวได้ตกเป็นเหยื่อของหนุ่มตัวแสบโดยไม่เอะใจสักนิด

สาวท้วมเอื้อมมือแตะบ่าญาติสาว

"พี่แพมทำใจเสียเถอะ ! ลีคิดว่าแผลขนาดนี้ ไม่น่าจะรอดนะ"

รุ่งยกมือขึ้นมาทางวลีพร บีบเสียงให้อ่อนระทวย

"น้องลี ! พี่คงไม่สามารถแต่งงาน กับน้องได้ ถ้าชาติหน้ามีจริง เราคงได้เป็นคู่กัน"

วลีพรยักไหล่

"ก็โอนะ ! พี่รุ่งไปรอลีล่วงหน้าก่อนเลย ชาตินี้ลีมีชายในดวงใจแล้วล่ะ"

แพมพูดขึ้น

"รุ่งจะตายไม่ได้ รุ่งต้องไม่เป็นไร"

วลีพรชะงัก เธอมองหน้าแพม นึกอยากจะขำ แต่ก็ไม่กล้า เพราะสีหน้าของญาติสาว ดูเป็นจริงเป็นจัง

เธอเอื้อมมือมาแตะที่แขนของแพม

"พี่แพม ! ใจเย็น ๆ ก่อน อย่าเพิ่งห่วงพี่รุ่งเลย เป็นห่วงพี่ปลิวเถอะ !"

แพมสั่นหัว

"พี่ไม่ได้ชอบพี่ปลิว !"

น้ำตาเธอหยดลงมาบนแก้มรุ่ง

หนุ่มใกล้ตายลืมตามอง เห็นท่าทีเหตุการณ์จะเริ่มบานปลาย เพราะ สาวที่กำลังประคองบ่าเขาอยู่ กำลังอยู่ในอารมณ์โศกเต็มที่

รุ่งยักคิ้วให้วลีพร พยักเพยิดขอความช่วยเหลือไม่ให้การละเล่น เริ่มเลยเถิด

สาวท้วมยกมือขึ้นเกาหัว

"โธ่ ! พี่แพม" เธอตะปบมือลงบนเสื้อของรุ่ง "นี่พี่แพมดูสิ ! คนถูกแทงอะไร เสื้อไม่ขาดซักรู แต่เลือดเต็มตัวเลย !"

พูดแล้วก็เอามือจี้เอวของรุ่ง

คนใกล้ตาย ยกศอกขึ้นกันแล้วหัวเราะหึ ๆ

"เฮ่ย อย่าดิ ! คนกำลังจะตาย !"

แพมปล่อยมือทั้งสองข้าง ทิ้งหัวของรุ่งลงโขกพื้นอีกครั้ง เสียงดัง 'โป๊ก !'

"โอ๊ย !" รุ่งยกมือขึ้นคลำหัว

"คราวนี้ไม่ตาย แต่ปัญญาอ่อนแทน ได้เลือดจริงก็คราวนี้ !"

หลานสาวคนโตของกิจบูรณา รีบลุกขึ้นยืน ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบน้ำตา

เธอกระทืบเท้าลงบนพื้น

"ไอ้เด็กบ้า !"

ไอ้ตัวแสบพลิกตัวกลับ รีบคลานเข้าไปหาแพมอย่างรวดเร็ว

แล้วนั่งคุกเข่ายกมือพนมท่วมหัว กราบลงที่เท้าของเธอ

"พี่แพม ! ผมขอโทษครับ ! มันเป็นเลือดปลอมครับ พี่แพมอย่าโกรธผมนะครับ"

รุ่งก้มหน้าพนมมือแตะพื้นอยู่ที่ปลายเท้าของเธอ เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบจากเจ้าตัว เขาพูดต่อ

"ผมผิดไปแล้วครับ อภัยให้ผมนะคร๊าบ ถ้าไม่หายโกรธ ผมจะก้มกราบอยู่อย่างนี้ไม่ไปไหน"

วลีพรลุกขึ้นยืน หัวเราะคิกคัก

"ดูหนังจีนมากไปแล้วมั้ง พี่รุ่ง"

แพมยังสูดน้ำมูกอยู่ รู้สึกเสียหน้าที่ถูกหลอก

"อยากก้มอยู่ตรงนี้ก็ตามสบาย"

เธอขยับเท้าจะก้าวออกไป รุ่งคว้ามือจับข้อเท้าไว้

"เดี๋ยว ๆๆ ! อย่าเพิ่งไปเลย อภัยให้ผมเถอะครับ ! อย่าโกรธผมเลย ก้มนาน ๆ แล้วหน้ามืด"

แพมกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ เธอยกแขนตัวเองขึ้นมองรอยเลือดปลอมที่เปื้อนมาจากไอ้ตัวแสบ

"แขนพี่เปื้อนเลือดหมดแล้ว รีบหาอะไรมาเช็ดเลย"

นายจอมกะล่อน ผุดลุกขึ้นยืน ล้วงกระเป๋าควักผ้าเช็ดหน้าออกมา

"นี่ ! ยังพอเช็ดได้"

เขาจับข้อมือของแพมกางออก แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้า เช็ดที่ช่วงข้อพับแขนของเธอ

"เดี๋ยวพี่แพมเข้าห้องน้ำล้างน้ำอีกทีก็ออกครับ เลือดปลอมนี่ล้างออกจากตัวไม่ยาก"

วลีพรยืนอมยิ้ม เธอสังเกตสีหน้าของญาติสาว ที่มีสีชมพูปลั่งไปทั่วใบหน้าเพราะความเขิน

แพมพูดขึ้น

"มันน่าจะตายไปซะได้จริง ๆ"

รุ่งพยักหน้า

"อือ... เหรอครับ ? เมื่อกี๊ได้ยินใครไม่รู้ บอกว่าไม่ให้ผมตาย"

แพมชักมือกลับทันที

"นี่ !" เธอมองหน้ารุ่ง แล้วจู่ ๆ ก็เดินผละออกไป

สาวท้วมหัวเราะคิกคัก

"เจ๊แกหลุดว่ะ !"

รุ่งหันมาถาม

"หลุดอะไร ?"

"ยังงี้เรียกว่าหลุดเยอะแล้ว ! ไม่เคยเห็นแกหลุดขนาดนี้มาก่อน"

รุ่งไม่เข้าใจความหมายของวลีพร เขาเดินอ้าแขนเข้าไปหาเธอ

"มา ! ถึงตาน้องลีแล้ว ขอพี่กอดให้ชื่นใจ"

วลีพรยกเท้าขึ้นกัน

"อย่านะ พี่รุ่ง ! ทำชุดนี้ของน้องลีเปื้อนไม่ได้ ไปอาบน้ำเลย เดี๋ยวจะหาเสื้อใหม่ให้ใส่"

เธอเดินนำรุ่งเลียบทางเดินชานเรือนไปด้านข้าง

"พี่รุ่งไม่คิดจะแต่งตัวเหมือนคนปกติแล้วใช่มั้ย ?"

รุ่งหัวเราะหึ ๆ เดินตามสาวอวบไปตามทางเดิน

**************************************************************************

รุ่งสวมเสื้อยืดตัวใหม่เอี่ยม เพิ่งแกะซอง เสื้อยืดพนักงานบางกอกซีดาร์ฟันปาร์คสีเทา....เป็นเสื้อตัวที่ห้าของวันนี้

แอนดี้ยืนดักรออยู่ที่หน้าห้องกรรมฐานใหญ่ ขณะที่รุ่งกำลังเดินลงมาจากบันไดชั้นสอง

"พี่แอนดี้ !"

"เป็นไง ? ใส่เสื้อตัวนี้แล้วดีกว่าตัวนั้น"

แอนดี้หมายถึงเสื้อยืดผู้หญิงของแคลร์

"เราจะต้องทำอะไรต่ออีกครับ ?"

"อีกสิบกว่านาที ก็จะเริ่มจุดพลุ รุ่งอยู่ดูพลุด้วยกัน ตอนนี้คอนเสิร์ตเลิกแล้ว เราเดินออกไปคุยกันข้างหน้าเรือนดีกว่า"

รุ่งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดหน้าจอข้อความ SMS ภาษาจีน ยื่นให้แอนดี้

"พี่แอนดี้ ! ภาษาจีนนี่แปลว่าอะไรครับ ?"

"หือ ! อะไร ? ไหน ?" แอนดี้รับโทรศัพท์มาดู

เขาอ่านออกเสียง

"หนี่เจินเตอ ซื่อเสี่ยงเยี่ยวเกินหว่อเจี๋ยฮุน ? เหลี่ยงชื่อเลอทิงหนี่ซัวเจ้อยั่ง หนี่เชว่ติ้งเลอมา ?"

อ่านเสร็จก็อมยิ้ม

"ไปขอใครแต่งงานมา ?"

รุ่งถามกลับ

"มันแปลว่ายังไงครับ ?"

"มันแปลว่า เธอคิดจะแต่งงานกับฉันจริง ๆ เหรอ ? สองครั้งแล้วนะ ที่ได้ยินเธอขอฉันแต่งงาน เธอแน่ใจแล้วใช่มั้ย ?"

รุ่งอุทาน

"โอว !... สองครั้งแล้วจริง ๆ ด้วย"

แอนดี้ยื่นโทรศัพท์คืนให้

"เรารักเค้าจริงหรือเปล่าล่ะ ? ผู้ชายน่ะ ถ้าจะพูดคำนี้ออกมา มันต้องแน่ใจถึงพูด ไปขอเค้าแล้วตั้งสองครั้ง แล้วจะแต่งกับเค้าหรือเปล่า ?"

รุ่งรีบยกมือขึ้นโบก

"เปล่าครับ ! ไม่ใช่ยังงั้น ! คือ ผมไม่คิดว่าเค้าจะต้องมาได้ยิน

เอ๊ะ... ! ว่าแล้วก็แปลกดี ! ครั้งที่สองเค้าไม่น่าจะอยู่ตรงนั้นได้เลย"

แอนดี้ถามกลับ

"สรุปว่า ไม่ได้ชอบเค้า ว่างั้น ?"

รุ่งกลับสั่นหัว

"ไม่ใช่ไม่ชอบครับ !"

"อ้อ ! ก็แสดงว่าชอบเค้า !"

"เอ๊ะ..! ไม่ใช่ครับ ! คือ เค้ามีเจ้าของแล้วครับ ผมไม่เคยคิดจะชอบแฟนคนอื่น ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนของญาติห่าง ๆ เราแค่เคยได้เจอกันสองสามครั้ง"

สองหนุ่ม เดินมาถึงด้านหน้าของเรือนไม้แล้ว

แอนดี้หัวเราะ

"เจอกันแค่สองสามครั้ง แต่ขอแต่งงานไปแล้วสองครั้ง ?"

รุ่งหัวเราะตัวเอง

"ครับ ไม่ได้ตั้งใจขอ ผมพูดเป็นภาษาอื่น แต่เค้าดันฟังออก หน้าแตกไปเลย ผมไม่อยากมีเรื่องเสียชื่อเกี่ยวกับเรื่องของของชาวบ้าน"

เขาหยุดยิ้ม แล้วถอนหายใจ

"ชีวิตผมมีแต่ถูกกล่าวหาเรื่องนี้ คือ ชอบแย่งของที่ไม่ใช่ของของตัวเอง กลายเป็นคนเลวมาตั้งแต่เด็ก"

แอนดี้เลิกคิ้ว

"หือ...! ใครกล่าวหา ?"

"ตอนเรียนมัธยม ก็ครูฝ่ายปกครอง ไม่ชอบหน้าผม ตราหน้าว่าผมเป็นคนเลวก็เรื่องนี้"

"ครูยาใจเหรอ ?"

รุ่งพยักหน้า "ครับ !"

"พอผมเริ่มเข้าไปรู้จักครอบครัวไตรสรณ์ ผมก็ถูกหาว่า จะไปแย่งตำแหน่งทายาทที่เขามีโพยกันไว้แล้วว่าจะให้คนอื่น ฟังดูแล้วมันก็เหมือนผมเป็นคนมักง่าย ไม่คำนึงถึงจิตใจคนอื่น นึกอยากจะได้อะไร คว้าได้ก็คว้ามาเลย ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี"

"ใครพูดแบบนั้นกับรุ่ง ? คนในบ้านไตรสรณ์เหรอ ?"

รุ่งสั่นหัว

"ไม่ใช่ครับ ! ครูยาใจอีกล่ะครับ ! เค้าตราหน้าผมไว้ตั้งแต่ตอนเรียนแล้วว่า คนอย่างผม เป็นคนที่จะไม่ทำอะไรด้วยตัวเอง แต่จะรอโอกาส แล้วก็ไปแย่งของคนอื่นมา เค้าเป็นคนบอกว่า โตขึ้น ผมก็จะใช้ชีวิตด้วยวิธีทุจริต อะไรใกล้มือก็คว้าได้หมด ไม่ว่าจะเงินชาวบ้าน สิทธิ์ของคนอื่น ผมก็ไปสวมแทนได้ แฟนคนอื่น ผมก็จะแย่งได้ ผมเป็นคนที่ไร้ศีลธรรม ไม่รู้จักคำว่าละอาย เพราะ...."

เขาชะงัก ตัดสินใจว่าจะไม่พูดประโยคต่อไป ที่มันบาดใจ

".... ผมไม่พูดมากกว่านี้ดีกว่า ถ้าผมนึกถึงประโยคนั้นอีกครั้ง ผมอาจจะกระทืบคนได้ด้วยตีนของผมเอง กลายเป็นเด็กระยำตามที่เค้าว่าไว้ไม่ผิด"

ใบหน้าของรุ่งมีสีแดงก่ำ อารมณ์โกรธถูกแสดงออกมาอย่างเปิดเผย

แอนดี้เอื้อมมือไปตบไหล่รุ่ง

"เอาล่ะ ! คืนนี้เป็นคืนมงคล เรื่องนั้น มันเป็นอดีตไปแล้ว

แต่การที่รุ่งตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่เป็นคนอย่างนั้น นั่นก็เป็นสิ่งที่ดีมาก เราใช้คำดูถูกของคนอื่น มาเป็นแรงผลักดันให้เราเป็นคนดี แล้วความประพฤติเราเอง ก็จะพิสูจน์เองว่า เราไม่ใช่คนแบบนั้น

คนที่จะเป็นคนดีได้ มันต้องอาศัยขันติ

ขันติ คือ ความอดกลั้นที่จะไม่ทำตาม โลภะ ราคะ โมหะ ที่ยั่วยวนเรา

คนที่ถูกใจเรา หรือ สิ่งที่ถูกใจเรา แต่อยู่ไกล ไม่น่ากลัว

สิ่งที่จะพิสูจน์การบำเพ็ญตบะของเรา คือ สิ่งที่ถูกใจเรา หรือ คนที่ถูกใจเรา ซึ่งไม่ใช่ของของเรา แต่กลับอยู่ใกล้ตัวเรา อันนี้น่ากลัว มันจะทดสอบขันติของเรา ว่าจะเผากิเลสได้หรือไม่ "

รุ่งพยักหน้า

"ครับ ! ตอนที่พี่แอนดี้นอนป่วย แล้วผมไปเจอพี่ครั้งแรก พี่ยังไม่รู้จักศาสนาพุทธเลย แต่วันนี้ เหมือนกับพี่แอนดี้กลายเป็นคนละคน

ผมจะรักษาขันติตามที่พี่แอนดี้แนะนำครับ ผู้หญิงคนไหนก็ตาม ถ้าไม่ใช่ของของผม ก็ไม่มีวันทำลายขันติของผมได้

อีกอย่างนึง ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้รู้จักผมโดยตรง ญาติผมเป็นคนแนะนำให้รู้จัก ไม่ได้มีอะไรจำเป็นจะต้องเจอกันบ่อย ๆ ถึงเจออีก ผมก็คิดว่า ผมจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มคุยก่อน ถึงเค้าจะคุยกับผมก่อน ผมก็คิดว่าผมก็จะคุยเท่าที่จำเป็นดีกว่า แล้วถ้าผมเห็นเธอก่อน ผมก็จะไม่ทัก จะรีบเดินไหนไปไกล ๆ ดีกว่า "

แอนดี้จ้องหน้ารุ่ง

"ท่าทางจะหนักนะ ! แสดงว่า...."

รุ่งเอียงคอ

"ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมไม่อยากคิดอะไรซับซ้อน แค่ว่าของไม่ใช่ของเรา แค่นี้ผมตัดได้เลย ต่อไป คงไม่ต้องเจอกับเค้าอีกแล้ว"

"ก็ดีนะ ! ถ้าเรารู้ว่ามันมีโอกาสที่ ถ้าเค้ากับเราอยู่ใกล้กัน มันอาจจะเริ่มระงับกิเลสไม่อยู่ ก็ตัดใจอย่าเจอกันตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่ได้เป็นเนื้อคู่กันจริง ๆ อยู่ห่างกันสักพัก มันก็คลายความผูกพันไปง่าย ๆ เลย

ลูกผู้ชาย มีสัจจะเป็นสำคัญ สัจจะที่จะไม่ล่วงละเมิดของของคนอื่น มันก็คือสัจจะในการถือศีลนั่นแหละ

ถ้ารุ่งตั้งสัจจะไว้อย่างนี้ พี่ก็เชื่อว่า รุ่งต้องทำได้ การไปมีเรื่องชู้สาวกับแฟนของญาติให้เป็นที่ครหานี่ มันไม่ใช่ลูกผู้ชายเลย แล้ว รุ่งก็ไม่ใช่เป็นคนอย่างนั้นแน่นอน ครูยาใจเธอดูรุ่งผิดไป"

รุ่งยกมือไหว้แอนดี้

"ขอบคุณพี่แอนดี้ที่เข้าใจ คุยกับพี่แอนดี้แล้ว สบายใจขึ้นมากเลย"

แอนดี้มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่มีร่องรอยของหยาดฝนสักเม็ดหลงเหลืออยู่ในสายลม ฝนหยุดตกอย่างชะงัด

อากาศเริ่มเย็นลงอีกเล็กน้อย

"ตอนห้าทุ่ม เค้าจะยิงพลุที่นอกลานอาหารฝั่งโน้น  ถ้าเราดูจากที่ชานเรือนไม้นี้ จะเห็นชัด"

รุ่งพยักหน้า
"เหรอครับ !  ถ้ายิงจากตรงโน้น คนในโดมคอนเสิร์ตจะเห็นชัดด้วย พระนางนี่สุดยอดเลย จัดการหยุดฝนได้ก่อนเวลายิงพลุจริง ๆ พระนางท่านมีชื่อมั้ยครับ ?"

"มี ! ท่านชื่อพระนางจันทิมา นาคิณีวิสุทธิเทวี"

"ชื่อยาวจัง ! ท่านเป็นเทวดาคุ้มครองพี่แอนดี้เหรอครับ ?"

แอนดี้กำลังนึกคำอธิบายที่เหมาะสม

"เอ่อ...! ถ้าพูดกว้าง ๆ แบบนั้น ก็ได้  คือ ท่านมาเพื่อคุ้มครองด้วย แล้วก็มาเป็นครูสอนวิชาเกี่ยวกับเรื่องการใช้เวทย์มนต์"

"ทำไมต้องมีครูสอนวิชาเวทย์มนต์ด้วยล่ะครับ ? เราจะต้องไปรบกับใครเหรอครับ ?"

แอนดี้หัวเราะเบา ๆ

"ถามได้ดี ! เราไม่ไปรบกับใครหรอก แค่เราทำของเราไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็จะมีคนมารบกับเราเอง"

รุ่งหัวเราะ
"เรากำลังจะทำอะไรกันเหรอครับ  ถึงจะต้องมีคนมารบกับเรา ?"

แอนดี้ยืนกอดอก
"เรากำลังจะทำอะไรเยอะแยะ หลายอย่าง  แต่ถ้าให้พูดวัตถุประสงค์หลัก ๆ  พี่ก็คงพูดได้อย่างเดียว คือ พี่จะไม่นำคนไปลงนรกด้วยกันอีกแล้ว
หลวงพ่อสอนยืนยันว่า พี่มาจากสายพุทธภูมิ  รุ่งเข้าใจคำว่าพุทธภูมิ ?"

รุ่งพยักหน้า
"ครับ ! คนที่ปรารถนาพุทธภูมิ คือ เคยตั้งจิตอธิษฐานว่า ตัวเองจะขอบำเพ็ญเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเองในอนาคต"

แอนดี้พยักหน้า
"ใช่ ! คำว่าบำเพ็ญคือ ต้องทนทุกข์ทรมานทุกอย่างมากกว่าดวงจิตอื่น ๆ ต้องเวียนว่ายในวัฏสงสารยาวนานกว่าใคร ๆ  ต้องผ่านภพภูมิต่าง ๆ ทั้ง เทวดา พรหม เปรต อสุรกาย สัตว์นรก เพื่อนำบทเรียนนั้นมาเป็นครูในชาติสุดท้าย
ในอดีต พี่เองเคยพาบริวารที่ติดสอยห้อยตามมา ลงนรกไปด้วยกันมานับชาติไม่ถ้วน  เพราะเมื่อผู้นำเดินนำไปทางไหนแล้ว  บริวาร ก็จะเดินตามโดยไม่แตกแถว
ถ้าจะหยุดวงจรนี้ให้ได้ พี่จะต้องลาพุทธภูมิ เพื่อตัดขาดกับบริวารทั้งหลายเสียที  ใครที่ยังจะติดตามเป็นบริวารพี่ต่อไป ก็จะมุ่งศึกษาเพื่อบรรลุธรรม หวังนิพพานในชาตินี้เป็นหลัก ไม่มุ่งจะไปพักเกิดในชั้นดุสิตอีก   ส่วนใครที่ไม่เดินตามมาทางนี้ พวกเค้าก็จะไปติดตามพระโพธิสัตว์พระองค์อื่นเอง
หากพี่จะลาพุทธภูมิในชาตินี้ ก็อาจจะต้องเหนื่อยหนักกว่าเดิมนิดหน่อย เพื่อเร่งสะสางหนี้เก่า แล้วก็ช่วยเรื่องบ้านเมือง กับ ภัยพิบัติ"

รุ่งหัวเราะแหะ ๆ
"เข้าใจเพียงแค่ห้าสิบเปอร์เซนต์ครับ แล้วอย่างผมนี่ ถือว่าเป็นบริวารพี่แอนดี้หรือเปล่าครับ ?"

"นั่นน่ะสิ ! แล้วเรามีความรู้สึกอยากจะตามพี่ไปทำอะไรด้วยหรือเปล่าล่ะ ?"

รุ่งพยักหน้าทันที
"ผมว่า ผมตามหาพี่มานานแล้วนะ เพราะพี่เป็นสิงห์ไง !"

แอนดี้หัวเราะ
"เพราะพี่ก็เป็นบริวารของหลวงพ่อสอน ซึ่งพวกเราทั้งหมด ก็เป็นบริวารของหลวงพ่อที่อุทัยธานีด้วย มันก็กัดก้อนเกลือกินร่วมกันมานานมากแล้ว  รุ่งเองก็ตาม รุ่งก็มีบริวารของรุ่งเองเหมือนกัน ซึ่งเขาก็จะต้องพึ่งพาเรา เราจะคลายทุกข์ให้พวกเขาได้"

รุ่งถามอีกคำถาม
"เราจะรู้ได้ยังไงว่า คนไหนเป็นบริวารของเราครับ ?"

แอนดี้นึกไปตอบไป
"อย่างแรก ก็การถูกชะตาชอบขี้หน้า นั่นก็เป็นสัญญาณอย่างง่าย ๆ 
ต่อมา คือ คนคนนั้นชอบทำอะไรตามเรา เลียนแบบเรา หรือ เราอยากให้เขาทำตัวยังไง เขาก็ทำตามอย่างง่าย ๆ โดยไม่มีเหตุผล นี่ก็เป็นสัญญาณที่ชัดชึ้น 
สองอย่างนี้เป็นสัญญาณที่มองด้วยตาเปล่าก็พอจะรู้ได้  แต่ถ้าให้แม่นยำมากกว่านี้ ต้องใช้ตาทิพย์ดูบุพกรรม ย้อนไปดูความเกี่ยวเนื่องกันในอดีตชาติ"

รุ่งพยักหน้าช้า ๆ เขาก็กำลังคิดตามคำพูดของแอนดี้เหมือนกัน
"แล้ว.... ถ้าเราเจอบริวารเรา เราจะต้องทำตัวยังไงเหรอครับ ?"

คนถูกถามเบิ่งตาโต

"ถามแปลก ! เราก็คงจะเดินหนีไม่ได้น่ะสิ !" เขาตอบไปหัวเราะไป "... พี่หมายถึง มันจะมีความรู้สึกบอกเราเองว่า เราจะทิ้งคนนี้ไปไม่ได้  แต่ส่วนใหญ่นะ บริวารเมื่อมาเจอเรา เขาจะมีเรื่องเดือดร้อนที่เราช่วยได้ เขาถึงมาเจอเรา แล้วจะทำให้เรารู้สึกว่า เราต้องช่วยคนคนนี้  คงประมาณนี้แหละ"

รุ่งกลับมีสีหน้าที่จริงจังมากขึ้น ไม่มีรอยยิ้ม
"ยังงี้ก็เครียดน่าดูนะ"

"หือ ! ทำไมล่ะ ?"

"ผมไม่อยากมีบริวาร ตัวผมเองยังเอาตัวไม่รอดเลย ผมจะมีปัญญาไปช่วยใครได้ ? ถ้ามีคนเดือดร้อนมาพึ่งพาผมเยอะ ๆ ผมจะต้องบ้าตายแน่"

แอนดี้สั่นหัว
"ไม่จริงหรอก ! ตอนนี้รุ่งอาจจะยังไม่รู้ ก็เลยคิดแบบนี้  แต่ในอดีต รุ่งก็เคยพูดแบบนี้ แต่รุ่งก็เป็นที่พึ่งของคนอื่นมาได้ตั้งมากมาย มีบริวารติดตามมาเยอะแยะ  เรามีเลือดพุทธภูมิติดตัวมาตลอด ไม่ได้ละถอนออกไปได้ง่าย ๆ"

รุ่งขมวดคิ้ว
"ในอดีต ?  พี่แอนดี้หมายถึง ในอดีตชาติเหรอครับ ?"

แอนดี้พยักหน้า
"ใช่ ! เรามีจิตที่คิดแต่จะเสียสละอยู่เป็นส่วนใหญ่ ถึงได้มาเกิดในที่แบบนี้
รุ่งมีจิตที่สามารถเสียสละของของตนเอง หรือ หยาดเหงื่อ ความลำบากของตนเอง เพื่อแลกกับความสุขของคนอื่น รุ่งเป็นอย่างนั้นมาตลอด"

"ฟังดู มันไม่ใช่ผมเลยนะนั่น แต่... ก็อาจจะมีคนคนนึง ซึ่งเขายึดผมเป็นหลัก แล้ววันนี้ผมก็เพิ่งตัดสินใจว่า ผมต้องช่วยเค้าให้พ้นทุกข์ให้ได้ ผมไม่มั่นใจว่าจะทำได้ตลอดหรือเปล่า แต่ผมทนเห็นเค้าเป็นทุกข์แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว"

ทิดเอกพยักหน้า

"นั่นแหละ ! ไอ้แค่คิดว่า ผมทนเห็นเค้าเป็นทุกข์ไม่ได้ นี่แหละคือสิ่งที่น่าสรรเสริญแล้ว เป็นพรหมวิหารสามข้อที่ส่งให้เรามาได้ถึงจุดนี้"

"พรหมวิหารมีสี่ข้อไม่ใช่เหรอครับ ? ไหงมันหายไปข้อนึง ?"

"บรรดาพุทธภูมิทั้งหลายน่ะ ยังไม่ลึกซึ้งในคำว่าอุเบกขามากนัก แต่หนักแน่นด้วย เมตตา กรุณา มุทิตาจิต เต็มเปี่ยม อยู่เฉยไม่ได้หรอก ถ้าเห็นบริวารเป็นทุกข์ มันก็ต้องลุยดะไปเรื่อยแหละ ไม่มีคำว่าหยุด ถ้าบริวารไม่พ้นทุกข์"

เสียงอาน้อยดังมาจากในเรือน

"ใกล้เวลาแล้ว แอนดี้ ที่ลานโน่นวิทยุมาบอก อีกห้านาทีจะเริ่มจุดพลุ พวกเรากำลังทยอยเดินออกมา ยืนดูตรงไหนดี ?"

แอนดี้ชี้มือไปที่บริเวณชานเรือน

"ตรงชานนี่ก็ได้ครับ ฝนหยุดตกแล้ว"

เสียงคณะพรรคพวกที่เหลือ ทยอยเดินออกมาจากห้องกรรมฐานใหญ่

วลีพรเดินคุยกันมากับแพท และ พจน์

"เมื่อกี๊เจ๊แกหลุด ! แกบอกว่าไม่ชอบพี่ปลิว" วลีพรพูดขึ้น

แพทรู้สึกประหลาดใจ

"เฮ่ย..! จริงอะ ! พี่แพมหลุดขนาดนี้เลยเหรอ ? ปากแข็งไม่พูดไม่จามาตลอด จู่ ๆ มาหลุดวันนี้ได้ไงอะ ?"

พจน์หัวเราะชอบใจ

"พี่ก็นึกอยู่แล้วว่าพวกเราอาจจะมองผิดไป แต่พี่แพมเค้าก็ถือว่าเป็นมือหนึ่งจริง ๆ นิ่งจนคนจับไม่ได้ว่าคิดอะไร"

แพทพูดต่อ

"หรือว่า พี่แพมมีคนอื่นที่ชอบอยู่แล้ว ? ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ นอกจากพี่ปลิว ไม่เห็นพี่แพมจะยอมไปเที่ยวกับใครเลย บางทียังนึกว่าพี่แพมไม่ได้ชอบผู้ชายหรือเปล่า"

วลีพรพยักหน้า

"ชอบผู้ชายสิ ! ชั้นว่าชั้นพอรู้ว่าพี่แพมชอบใครนะ"

แพทเขย่าแขนวลีพร

"เหรอ ๆ ? ใคร ?"

"เอาไว้ให้ชัวร์ก่อน ! เพิ่งจะเริ่มเข้าเค้าเมื่อกี๊นี้นี่แหละ"

พจน์พยักหน้าช้า ๆ เขาหยุดเดิน แล้วก้มลงกระซิบข้างหูญาติสาวผู้ตุ้ยนุ้ย

วลีพรตาลุกวาว เธอหันไปชี้หน้าพจน์

"พี่พจน์รู้มาจากไหน ? หรือว่าสังเกตเอา ?"

พจน์อมยิ้ม

"สังเกตเอา จะรอให้แกพูดมาจากปากน่ะ ไม่มีทางหรอก แสดงว่า ลีเองก็สังเกตเหมือนกัน"

เธอพยักหน้า

"อือ ! สังเกตเอาเหมือนกัน แต่เพิ่งจะมามั่นใจเมื่อกี๊นี้ เดี๋ยวไว้ค่อยเล่าให้ฟัง"

วลีพรเดินมาถึงนอกชาน เอ่ยปากทักรุ่ง

"เป็นไง ? ได้ใส่เสื้อปกติเป็นผู้เป็นคนซะทีนะพี่รุ่ง"

รุ่งหัวเราะหึ ๆ เขามองเลยวลีพรออกไป เลยจากแพท พจน์

พี่แพม เดินคุยกันมากับ แคลร์ ถัดไปเป็นอาวิบูลย์

เลยจากอาวิบูลย์ไป เป็นคุณหมอณรงค์

เลยจากคุณหมอณรงค์.....ไป เป็น......

รุ่งถลึงตาโต แล้วร้อง "จ๊าก !"

วลีพรสะดุ้ง

"เฮ่ย ! พี่รุ่ง ! ผีลิงเข้าสิงหรือไง ? เป็นไรไป ?"

สาวในชุดเดรสสีเขียวแขนกุด กำลังเดินออกมาจากด้านในของเรือน

แอนดี้กวักมือเรียก

"อาฟ่ง ! มานี่ !"

อาฟ่ง หรือ เลอหงส์ เดินตรงมาหาพี่ชาย

แอนดี้ยกมือจับที่หัวไหล่ของรุ่ง ที่กำลังยืนตะลึงตาค้าง

"รุ่ง นี่น้องสาวพี่ ชื่อ อาฟ่ง หรือ เรียกว่าหงส์ก็ได้"

หงส์ยกมือขึ้นไหว้

"สวัสดีค่ะ พี่รุ่ง"

พร้อมส่งยิ้มให้

เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นรับไหว้ แต่ไม่มีคำพูดออกจากปาก

สมองเริ่มจะทำงานผิดปกติในบัดดล.... รุ่งรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ

'ปัง !'......'เพี๊ยะ ๆๆๆๆ' เสียงดังลั่นบนท้องฟ้า

พลุนัดแรกได้ถูกจุดขึ้นแล้ว

ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า พลุนัดแรกกระจายตัวเป็นสีแดงเต็มท้องฟ้า

เสียงอาน้อยตะโกนขึ้น

"ใครก็ได้ ช่วยดับไฟที่เรือนนี้ให้หมด เราจะได้เห็นชัด ๆ"

พจน์เริ่มปรบมือ

"สวยมาก !"

คนอื่นเริ่มปรบมือตาม

ไฟรอบเรือนไม้ทั้งหมดถูกดับลง บรรยากาศรอบข้างเรือนไม้มืดสนิท

พลุนัดที่สองเป็นสีเหลือง แตกสว่างไปทั่วท้องฟ้า


ความมืด ทำให้สีของพลุสว่างชัดเจน ประทับใจมากขึ้นโดยปริยาย

รุ่งค่อย ๆ เดินผละออกมายืนห่างจากกลุ่ม เขาไม่ได้แหงนหน้ามองดูพลุ แต่กำลังสับสนในความคิด

"นี่รุ่ง !"

เสียงของแพมดังขึ้นข้าง ๆ

"ครับ พี่แพม !"

"พี่ห้ามรุ่ง ไม่ให้เล่าเรื่องเมื่อกี๊นี้ให้ใครฟัง เด็ดขาด !"

แสงสีแดงของพลุสว่างสะท้อนใบหน้าของแพม

"ตอนไหนเหรอ ที่เล่าไม่ได้ ?"

"ทุกตอนนั่นแหละ ! ห้ามเล่าเด็ดขาด ไม่งั้นพี่จะโกรธรุ่งไปตลอด"

เขาหัวเราะหึ ๆ แล้วยกมือข้างนึงแบออก

"สาบานด้วยเกียรติของลูกหมาครับ ผมจะไม่เล่า ถ้าไม่จำเป็น"

แพมทำหน้าเบ้ กระทืบเท้า

"ยี้...! ไม่ได้ ไม่ได้ ! จำเป็นก็เล่าไม่ได้"

เสียงพลุ นัดต่อไป ดังเป็นชุดรัว

"โอเค ! จำเป็นก็ไม่เล่าครับ ต่อให้โดนแทงจริง ๆ ก็จะไม่เล่าครับ"

เสียงปรบมือของคนรอบข้างดังขึ้น พร้อมคำอุทานต่าง ๆ นา ๆ

"โอ... ! ชุดนี้สุด ๆ"

"กี่สีเนี่ย ครบทุกสีเลยมั้ง"

"สวยมาก เยี่ยม ๆ !"

แสงสว่างของพลุทำให้รุ่งมองเห็น สีหน้าของแพม ที่เริ่มเปลี่ยนจากหน้าเบ้ เป็นรอยยิ้ม

แคลร์เดินเข้ามายืนข้างซ้ายของเขา แล้วพูดด้วยภาษาอังกฤษ

"สวยมากเลย รุ่ง ! ขอบคุณที่มาดูพลุด้วยกันกับฉัน"

รุ่งแหงนมองดูพลุบนท้องฟ้า

"หวังว่า เมื่อเธอกลับไปที่โน่น เธอยังจะจำคืนนี้ได้อย่างดีนะ"

สาวอินเดียนพยักหน้า

วลีพรเดินเข้ามาแทรกระหว่างรุ่งกับแพม มือข้างหนึ่งคล้องแขนรุ่ง อีกข้างหนึ่งคล้องแขนญาติสาว


"สวยมากเลยเนอะ พี่รุ่ง พี่แพม ?"

สองคนพยักหน้าตาม

เสียงพลุถูกจุดติดกัน นัดแล้วนัดเล่า

กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ที่เขาคุ้นเคยเมื่อตอนเย็น โชยมาเข้าจมูกอีกครั้ง

เขาเริ่มรู้สึกตัวว่า สาวหงส์ในชุดเขียว คงต้องมายืนอยู่ใกล้ ๆ เขาอีกเป็นแน่

หงส์แทรกตัวเข้ามายืนชิดกับแคลร์ คล้องแขนข้างหนึ่งกับแขนของสาวอินเดียน

แคลร์ยกมือแตะหลังมือของหงส์เบา ๆ

"สวยมากเลยนะ คุณหงส์ ! ฉันไม่เคยได้ดูพลุใกล้ ๆ อย่างนี้มาก่อน"

หงส์เงยหน้าขึ้นมองฟ้า

"ใช่ค่ะ ! ฉันเอง ก็ไม่เคยมีโอกาสดูพลุที่ใกล้เท่านี้มาก่อนเหมือนกัน"

รุ่งรู้สึกว่าไหล่ของหงส์เบียดตัวเขาอยู่ แล้วที่ข้อศอกของเขานี่... คือ มือของใครกัน ที่กำลังกำข้อศอกของเขาอยู่ ?

เขาไม่กล้าหันหน้าลงมามองที่ข้อศอกตัวเอง ได้แต่แหงนหน้าขึ้นฟ้า แล้วเหลือบตามองลงมา

ไม่ใช่มือของแคลร์แน่ ๆ เพราะแคลร์กำลังยืนปรบมืออยู่

มือที่จับอยู่ที่ข้อศอกของเขา คือ มือของหงส์แน่นอน

เขาถอนหายใจเฮือก แล้วเบือนหน้าไปอีกทาง

บ่นกับตัวเองเบา ๆ

"ถ้าเป็นงี้ ขันกูได้แตกแน่ ๆ !"

วลีพรหันหน้ามามองรุ่ง

"ขันอะไรเหรอ พี่รุ่ง ?"

แอนดี้ยืนบริกรรมคำภาวนาจนเสร็จสิ้น เป็นอันเสร็จพิธีในวันนี้ลงอย่างงดงาม

พลุยังคงถูกยิงอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ทำให้ท้องฟ้าคืนนี้สว่างไสวราวกับดาวเป็นพันดวงกำลังตกเป็นที่ตระการตา

สิงห์ชุดดำมองไปทางรุ่ง แล้วมีรอยยิ้ม เมื่อเห็นภาพ น้องชาย กำลังถูกรุมล้อมด้วยสาวสี่คน แหงนหน้ามองดูพลุอยู่ด้วยกัน

__________________________________________________________________________________________

โดย วีรยาติ

1, 2, 3 <อ่านหน้า

กลับขึ้นด้านบน

 

อ่านตอนต่อไป
อ่านตอนอื่น

สมัครสมาชิก เว๊บบอร์ดที่นี่ (หากไม่สมัครสมาชิก จะโหวต หรือ แสดงความคิดเห็นไม่ได้) และ

อ่าน หรือ แสดงความคิดเห็นที่นี่

เชิญเยี่ยม Facebook หมอเถื่อน

(ให้กำลังใจโดยเข้าไป แล้วกด Like หรือ เขียนคำวิจารณ์)